สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 768

“เจ้าค่ะ ชิงเสวียนจะปล่อยเขาออกมาเดี๋ยวนี้”

เมื่อเห็นเจ้าสำนักเซี่ยวไปแล้ว อินชิงเสวียนก็หมดอารมณ์ที่จะกินต่อ

เพื่อไม่ให้เย่จิ่งอวี้หงุดหงิด อินชิงเสวียนจึงอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงเข้าไปด้วย

ในมิตินั้นเงียบสงบ แม้ว่าจะไม่มีดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์บนท้องฟ้า แต่ก็สดใสราวกับตอนกลางวัน นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้และผลไม้ที่ปลายจมูก ทำให้คนรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข

ข้างบ่อน้ำพุวิญญาณ เย่จิ่งอวี้เปลือยกายท่อนบนนั่งขัดสมาธิ หงายฝ่ามือทั้งสองข้างวางบนเข่าทั้งคู่ เรียวตาหงส์คู่นั้นปิดลงเบาๆ ราวกับว่าเขากำลังทำสมาธิ

เมื่อมองดูรูปร่างสูงตระหง่านของเขา กับกล้ามเนื้อหน้าท้องที่ปรากฏเลือนราง อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะแอบชื่นชมเขา

ถ้าเย่จิ่งอวี้เกิดในยุคปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นนักแสดงชื่อดัง แต่ก็ต้องเป็นเน็ตไอดอลที่มีแฟนคลับหลายล้านคนแน่นอน ถึงเขาจะไปเป็นนายแบบ แต่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเดิมเลย!

ดวงตาของเสี่ยวหนานเฟิงเฉียบคมมาก เขามองเห็นพ่อของเขาแล้ว กางแขนเล็กๆ ออกทันที ตะโกนด้วยแจ๋วๆ “เด็จพ่อ คิดถึงเด็จพ่อ”

เมื่อได้ยินเสียงของลูกชาย เย่จิ่งอวี้ก็ลืมตาขึ้น พร้อมกับความประหลาดใจเล็กน้อยบนใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา

“เสวียนเอ๋อร์ จ้าวเอ๋อร์!”

เสี่ยวหนานเฟิงแทบรอไม่ไหวที่จะกระโดดลงไปที่พื้น และเดินเตาะแตะไปหาเย่จิ่งอวี้

“ลูกคิดถึงเด็จพ่อ”

ร่างของเย่จิ่งอวี้หายวับ และมาปรากฏอยู่ตรงหน้าลูกชายทันที กางแขนออก แล้วกอดเขาเข้าสู่อ้อมแขน

เสี่ยวหนานเฟิงไม่ได้เจอเย่จิ่งอวี้มาหลายวันแล้ว เขากระแทกก้นน้อยๆ ลงอย่างมีความสุข ปากนุ่มนิ่มกระแทกหน้าเย่จิ่งอวี้ราวกับไก่จิกข้าว

เมื่อได้กลิ่นน้ำนมจางๆ หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็แทบอ่อนระทวย

ไม่ว่าชื่อเสียง โชคลาภ อำนาจ หรือเงินทอง ไม่มีอะไรเทียบได้กับเด็กน้อยผู้อ่อนโยนที่อยู่ตรงหน้าเขา เมื่ออุ้มลูกชายตัวนุ่มนิ่มและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกว่าความจริงคำจำกัดความของความสุขนั้นเรียบง่ายมาก

“เสด็จพ่อก็คิดถึงจ้าวเอ๋อร์เหมือนกัน แต่ในช่วงสองวันที่ผ่านมาพ่อมีงานต้องทำมากมาย เมื่อเรากลับเมืองหลวง พ่อจะชดเชยให้เจ้าแน่นอน”

เสี่ยวหนานเฟิงไม่เข้าใจคำพูดที่ซับซ้อนเช่นนี้ แต่เขาสัมผัสได้ถึงความรักที่พ่อมีต่อเขา จึงเหยียดแขนป้อมๆ อันอ้วนท้วนไปกอดรอบคอของเย่จิ่งอวี้ทันที

พูดตามเขาด้วยเสียงเนิบๆ ว่า “ชดเชยเชย”

เย่จิ่งอวี้พยักหน้าอย่างจริงจัง

“ได้ ข้าจะชดเชยให้แน่นอน”

เมื่อเห็นสองพ่อลูกเล่นกัน อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้น ทันใดนั้นนางก็นึกถึงคำพูดของเจ้าสำนักเซี่ยวได้ ขมวดคิ้วอีกครั้ง

“คิดอะไรอยู่หรือ”

เสียงของเย่จิ่งอวี้ดังขึ้นจากเหนือศีรษะของนาง เมื่ออินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเขาอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงยืนอยู่ตรงหน้านางแล้ว

อินชิงเสวียนไอแห้งๆ แล้วพูดว่า “ข้ากำลังคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ คนตงหลิวสูญเสียคนระดับแม่ทัพไปหลายคน สูญเสียกำลังไปมาก เป่ยไห่น่าจะสงบสุขได้หลายวัน”

“จบแล้วหรือ”

คิ้วรูปดาบของเย่จิ่งอวี้ขมวดมุ่นน้อยๆ

อินชิงเสวียนมองเขาแล้วถามอย่างอ่อนโยน “ใช่ ข้ากลัวจะเกิดเรื่องขึ้นกับอาอวี้ จึงรีบพาท่านเข้ามาอยู่ในมิติ อาอวี้ไม่โกรธข้าใช่ไหม”

เย่จิ่งอวี้มองนางอย่างแน่วแน่มั่นคง และวางเสี่ยวหนานเฟิงไว้บนบ้านลมปราสาท

“เจ้ากลัวว่าข้าจะบาดเจ็บจริงๆ หรือ”

เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่บีบคั้นแข็งกร้าวคู่นั้น อินชิงเสวียนก็หันหน้าไปทางอื่นโดยไม่รู้ตัว

“ใช่ คนตงหลิวเหล่านั้นไม่ใช่คนธรรมดา”

เย่จิ่งอวี้ยื่นมือออก กดไหล่ของอินชิงเสวียนให้นางหันมาทางเขา

“เสวียนเอ๋อร์ คำพูดหลอกเด็กเช่นนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่องั้นหรือ”

อินชิงเสวียนกัดริมฝีปากล่าง

“ไม่งั้นล่ะ มีเหตุผลอื่นอีกงั้นหรือ”

เย่จิ่งอวี้จ้องมองนางอยู่นาน แล้วโพล่งถามทันทีว่า “ข้าทำอะไรลงไปใช่ไหม เจ้าถึงต้องส่งข้าเข้ามาในมิติ?”

“เปล่า”

ดวงตาของเย่จิ่งอวี้มีมนต์สะกดที่มองทะลุทุกสิ่ง ทำให้อินชิงเสวียนไม่กล้าสบตาตรงๆ

“เสวียนเอ๋อร์ ข้าไม่เคยมีเรื่องปิดบังเข้า หวังว่าเสวียนเอ๋อร์จะไม่ปิดบังข้าเช่นกัน”

เขาปล่อยอินชิงเสวียน ถอนหายใจเบาๆ “จริงๆ แล้วข้าสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติอยู่รางๆ แต่ไม่เต็มใจที่จะเผชิญกับมัน ข้าไม่เชื่อว่าจะมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวเอง ในทำนองเดียวกัน ข้าก็รู้จักนิสัยของเสวียนเอ๋อร์ หากไม่จนปัญญาจริงๆ เจ้าก็ไม่อาจควบคุมการกระทำของข้าได้”

เขาหยุดชั่วคราวแล้วพูดว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ย่อมมีทางแก้ไขเสมอ ข้าไม่ต้องการที่จะเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่อง ยิ่งไม่ต้องการให้แม้แต่คนที่อยู่ใกล้ชิดข้าที่สุด มาปิดบังข้า”

คำพูดของเย่จิ่งอวี้มาจากใจ ทำให้อินชิงเสวียนรู้สึกสับสน

หากเปลี่ยนเป็นตัวเอง ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง คงปรารถนาที่จะรู้ผลอย่างแน่นอน การถูกคนอื่นปิดบังอำพรางไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีแน่ๆ

นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “อาอวี้รู้สึกว่าตัวเองตื่นเต้นแปลกๆ เมื่อเห็นเลือดหรือเปล่า”

เย่จิ่งอวี้คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เป็นเช่นนั้นจริง”

อินชิงเสวียนถามอีกครั้ง “แล้วท่านรู้ไหมว่าเมื่อตัวเองเห็นเลือด จะสูญเสียสติไปชั่วคราว?”

เย่จิ่งอวี้ตกใจเล็กน้อย

เมื่อได้ยินคำว่า ‘เลือด’ เย่จิ่งอวี้ก็นึกถึงอะไรบางอย่างได้

ก่อนที่เขาจะขึ้นครองบัลลังก์ เคยยกทัพโจมตีเจียงวู ทุกครั้งที่เขาเข้าสู่การต่อสู้ เขาจะรู้สึกถึงเลือดลมที่พลุ่งพล่าน

ในเวลานั้นเย่จิ่งอวี้คิดว่าเขามีความรู้สึกเช่นนี้เพราะสงคราม พอมาคิดดูตอนนี้แล้ว ถึงตระหนักว่าสิ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้นไม่ใช่ความสุขที่ได้ฆ่าศัตรู แต่เป็นเลือดที่ไหลออกมา

เมื่อนึกถึงเลือด แววตาของเย่จิ่งอวี้ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เขารีบระงับความคิดชั่วร้ายในใจ สีในดวงตาของเขาก็ค่อยๆ จางหายไป

“ท่านแม่กลับหอแล้วหรือยัง”

อินชิงเสวียนพยักหน้าและกล่าวว่า “กลับมาแล้ว ไม่ได้รับบาดเจ็บ อาอวี้ไม่ต้องห่วง หากท่านรู้สึกว่าเจ้าไม่สามารถควบคุมได้ ก็แช่ตัวนั่งสมาธิในน้ำพุวิญญาณ ต้องได้ผลดีกว่านั่งข้างบ่อน้ำพุวิญญาณ”

“เสวียนเอ๋อร์พูดมีเหตุผล สถานการณ์ข้างนอกตอนนี้เป็นอย่างไร”

“คนระดับแม่ทัพของตงหลิวเสียชีวิตไปหลายราย คงได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง เจ้าสำนักเฮ่อได้จัดแจงให้ศิษย์ในสำนักไปค้นหาปลาที่เล็ดลอดผ่านอวน การต่อสู้ครั้งนี้นับว่าดำเนินไปอย่างราบรื่น”

เย่จิ่งอวี้หายใจด้วยความโล่งอก สีหน้าตึงเครียดก็บรรเทาลงอย่างมาก จากนั้นเขาก็พูดว่า “การเฝ้ารอไม่ใช่วิธีที่ดี เราต้องหาที่ซ่องสุมตงหลิวและกำจัดพวกเขาในคราวเดียวให้สิ้นซาก”

“นั่นก็จริง เพียงแต่ตงหลิวตั้งอยู่ในทะเล คิดว่าหาได้ไม่ง่ายนัก”

เย่จิ่งอวี้ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องยาก มีหวังซุ่นอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ เขาเกิดที่ตงหลิว คงไม่ถึงขั้นที่ไม่รู้บ้านของตัวเองอยู่ที่ไหนกระมัง”

ดวงตาของอินชิงเสวียนสว่างวาบขึ้น

ใช่ ทำไมถึงลืมหวังซุ่นไปได้นะ

เย่จิ่งหลานคนโง่ คิดวแต่ว่าจะตีสนิทโมริตะคาวาสึบาเมะ ข้างกายมีคนเตรียมพร้อมอยู่แท้ๆ

จู่ๆ เย่จิ่งอวี้ก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง

“แต่การจะออกทะเล ต้องมีเรือที่แข็งแรงมาก อยู่เป่ยไห่มาตั้งนาน ข้าเคยเห็นแค่เรือประมงลำเล็กๆ ทรุดโทรมสองลำจอดอยู่บนฝั่งเท่านั้น ถ้าจะข้ามทะเล เกรงว่าจะไม่ง่าย”

“เรื่องนี้น่ะหรือ...”

มีเรือขนาดใหญ่สำเร็จรูปในมิติของอินชิงเสวียนอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรือขนาดใหญ่ แม้กระทั่งเรือรบและเครื่องบินก็มีพร้อม แต่แค่ปืนพกก็ต้องใชคะแนนสะสมหนึ่งล้านคะแนน สิ่งอย่างอื่นยิ่งไม่ต้องไปพูดถึง

แต่ชิ้นส่วนและส่วนประกอบอื่นๆ กลับมีราคาถูกมาก การสร้างเรือลำใหญ่ดูเป็นไปได้มากกว่าการแลกเรือ

“บางทีเราอาจลองดูได้ แต่ต้องหาคนที่รู้วิธีต่อเรือสักสองสามคน”

เย่จิ่งอวี้คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “คนในเป่ยไห่ส่วนใหญ่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาน่าจะมีความเข้าใจเรื่องเรือดีกว่าเรามาก หากเรามีวัสดุเพียงพอ และเงินทองมาก การหาคนย่อมไม่น่าจะเป็นปัญหา แต่เกรงว่านี่ต้องใช้แร่เหล็กมากมาย และของอย่างอื่นอีกมากมาย”

“เรื่องนี้ข้าจัดการได้ ตอนนี้เราก็ค่อยๆ ตระเตรียมไว้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”

อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “พรุ่งนี้ทุกสำนักจะหารือเรื่องการต่อสู้ที่โถงร่วมธรรม ข้าจะใช้โอกาสนี้เปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของอาซือหลาน”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์