สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 783

ณ หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์

หลังจากที่กวนเซี่ยวไปแล้ว อินชิงเสวียนจึงนึกขึ้นได้ว่ามีดที่ฉุยอวี้มอบให้กวนเซี่ยวยังอยู่ในมือของตัวเอง

“กวนเซี่ยว”

อินชิงเสวียนมาตะโกนเรียกที่หน้าประตู

กวนเซี่ยวผลักประตูออกมา บนโต๊ะมีถุงผ้าที่มัดไว้หนึ่งชิ้น

อินชิงเสวียนยื่นดาบสันโค้งที่มีสีดำขลับให้เขา

“นี่คือของที่เจ้าสำนักฉุยแห่งสำนักเซียวเหยามอบให้เจ้า บอกว่าตอบแทนที่เจ้าช่วยชีวิตเอาไว้”

กวนเซี่ยวจำมีดเล่มนี้ได้ และรู้ว่าของชิ้นนี้ตัดเหล็กได้ราวกับผ่าดินเหนียว ไม่ใช่สิ่งของธรรมดา

จึงอดนึกถึงเรื่องในวันนั้นไม่ได้

เขาพาฉุยอวี้ออกมาจากคุกมืด เมื่อเห็นว่านางชำนาญลู่ทางสำนักเซียวเหยาเป็นอย่างดี จึงเชื่อใจนางขึ้นมาก

เมื่อรู้ว่าอาซือหลานไปที่โถงร่วมธรรม ฉุยอวี้ก็รีบเปลี่ยนเป็นชุดคลุมสีดำ และให้กวนเซี่ยวพาตัวเองไป

ระหว่างทาง ฉุยอวี้หวังให้เขาเข้าร่วมสำนักเซียวเหยา นางยินยอมสืบทอดวิชาขั้นสุดยอดของสำนักเซียวเหยาให้แก่เขา เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ

กวนเซี่ยวปฏิเสธ

เขาไม่ใช่คนในยุทธภพ แต่ไม่ต้องการวุ่นวายกับเรื่องในยุทธภพมากเกินไป การที่ตัวเองได้ช่วยเหลือฉุยอวี้ ก็เป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น

ฉุยอวี้เห็นว่าเขาไม่ยินยอม จึงไม่ได้พูดอะไรอีก

วันนี้นึกถึงอีกครั้ง เขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจ

ท่านผู้เฒ่ากวนก็มีอายุมากแล้ว ตระกูลกวนมีเขาเป็นทายาทเพียงคนเดียว กลับไปปรนนิบัติดูแลท่านปู่ที่เมืองหลวง จึงเป็นสิ่งที่เขาควรทำ

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ผลักมีดพระจันทร์ดำที่อยู่ในมือของอินชิงเสวียนออกไป

“ข้าคงไม่จำเป็นต้องใช้มีดเล่มนี้ ช่วยมอบให้แก่ฟางรั่วแทนข้าด้วย นางติดตามท่านอยู่ในยุทธภพ การมีอาวุธคมอยู่ในมือก็ถือเป็นการปกป้องอีกชั้นหนึ่ง”

อินชิงเสวียนเหลือบมองเขาแล้วพูดว่า “เช่นนั้นเจ้าก็มอบให้นางด้วยตัวเองเถอะ เพราะเป็นของที่ผู้อื่นมอบให้ ข้ามอบให้นางแทนเจ้าคงไม่เหมาะสม”

กวนเซี่ยวลังเลครู่หนึ่งก็รับมีดมาถือไว้ในมือ

“ข้ารู้แล้ว”

อินชิงเสวียนพยักหน้า นางกำลังไปหยอกล้อกับเจ้าเด็กอ้วน ทันใดนั้น ประตูห้องของเย่จิ่งหลานก็เปิดออกมุมหนึ่ง มือเล็กๆ ข้างหนึ่งกวักมือเรียกนาง

“ทำอะไรอีก คงไม่ให้ข้าไปเป็นเป้าหรอกนะ!”

อินชิงเสวียนถามอย่างไม่สบอารมณ์

เย่จิ่งหลานยื่นมือมาคว้าตัวนางเข้าไปในห้อง และปิดประตูด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ

“ข้ามีบางสิ่งให้เจ้าดู”

อินชิงเสวียนถามด้วยความสงสัย “ดูอะไรงั้นหรือ?”

เย่จิ่งหลานชี้ไปยังเทียนที่อยู่ด้านหน้า

“ดูนั่นสิ”

อินชิงเสวียนคิดในใจ ของเล่นพวกนี้มีอะไรน่าดูกันนะ?

กลับเห็นว่าเย่จิ่งหลานหยิบขลุ่ยดินเผาออกมา เสียงสูงหลากหลายเสียงดังออกมาจากรูขลุ่ย เทียนสิบเล่มที่จุดไฟอยู่ก็ค่อยๆ ดับลงทีละเล่ม

อินชิงเสวียนที่ยืนอยู่ข้างเขาก็รู้สึกถึงพลังที่ล่องหนอยู่ สายตาของนางแสดงถึงความประหลาดใจออกมา

หรือว่านี่คือพลังภายใน?

เวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น แต่เย่จิ่งหลานสามารถทำได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?

เมื่อเห็นดวงตาสองข้างของอินชิงเสวียนเบิกกว้าง เย่จิ่งหลานก็ถามด้วยใบหน้าที่ภาคภูมิใจ

“เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าคิดว่าตอนนี้ข้าพอมีคุณสมบัติที่จะเข้ามาอยู่ในหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์แล้วหรือไม่?”

อินชิงเสวียนถามด้วยความอิจฉาริษยา “ให้ตายเถอะ นับว่าเจ้าเป็นรากกระดูกชั้นยอดและเป็นอัจฉริยะที่จารึกไว้ในหนังสือแล้วสินะ?”

เย่จิ่งหลานหัวเราะแหะๆ พูดด้วยความถ่อมตนว่า “รากกระดูกก็พอมีบ้าง แต่จำนวนไม่มากนัก หากพูดให้ถูกก็คือผลจากน้ำพุวิญญาณ หลังจากชำระวิญญาณล้างไขกระดูกแล้ว ข้าก็รู้สึกโล่งสบายตัวไม่น้อย ราวกับว่าจุดหลิงถายถูกเปิดกว้างมากขึ้นแล้ว”

ตอนนี้เขามีชีวิตที่ดีมาก แม้แต่น้ำล้างเท้าก็เป็นน้ำที่ต้มมาจากน้ำพุวิญญาณ

อินชิงเสวียนเดินมาเหลือบมองเทียนที่อยู่ด้านหน้า เอามือไพล่หลังแล้วพูดว่า “ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร การที่เจ้าสามารถฝึกฝนวรยุทธ์ได้นับเป็นเรื่องที่ดี ข้าจะได้ไม่ต้องคอยเป็นกังวล”

ทันทีที่สิ้นเสียงลง เย่จิ่งอวี้ก็ผลักประตูเดินเข้ามา

เย่จิ่งหลานรีบหุบยิ้มในทันที

“ขอคารวะเสด็จพี่”

เย่จิ่งอวี้พยักหน้ารับ

“ได้ยินเสียงเจ้าและเสวียนเอ๋อร์กำลังคุยกัน ข้าก็เลยเข้ามา”

อินชิงเสวียนรีบถามว่า “วันนี้ท่านอยู่ที่สำนักกระบี่สังหารทั้งวันเลยหรือ?”

เย่จิ่งอวี้พูดด้วยเสียงอ่อนโยน “และยังไปเดินเล่นกับท่านแม่ที่ริมทะเลด้วย จึงจับปูมาด้วยจำนวนหนึ่ง”

เมื่อได้ยินว่ามีปู ปากของเย่จิ่งหลานก็ฉีกยิ้มไปถึงใบหู

“ข้าไปดูก่อนนะ”

เมื่อเขาออกไปแล้ว อินชิงเสวียนก็ถามอีกว่า “พบเจอสิ่งใดหรือไม่?”

“ยังไม่มีเลย คนคนนั้นคงกำลังรอโอกาสอยู่”

เย่จิ่งอวี้ในตอนนี้ยังสามารถควบคุมจิตใจของตัวเองได้อยู่ จึงไม่น่าเป็นกังวลมากนัก

เมื่อเห็นอินชิงเสวียนขมวดเส้นคิ้วสองเส้นที่งดงาม สายตาของเย่จิ่งอวี้ก็เผยความอ่อนโยนออกมา เขายื่นมือที่มีข้อต่อกระดูกชัดเจน ลูบจอนผมที่เหมือนก้อนเมฆด้วยความรัก

“อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เห็นทุกสิ่งเป็นเรื่องธรรมดาก็พอ”

เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งอวี้มีสภาวะจิตใจที่ค่อนข้างดี อินชิงเสวียนก็ไม่อยากตื่นตระหนกมากเกินไป

“อาอวี้พูดมีเหตุผล พรุ่งนี้กวนเซี่ยวจะกลับเมืองหลวงแล้ว คืนนี้ข้าเตรียมของอร่อยไว้มากทีเดียว เพื่อเป็นการเลี้ยงส่งเขา”

เย่จิ่งอวี้ถามว่า “ฟางรั่วไปกับเขาหรือไม่?”

อินชิงเสวียนยักไหล่

“ไม่เพคะ นางอยากอยู่ที่เป่ยไห่”

เย่จิ่งอวี้พยักหน้าแล้วพูดว่า “ก็ดีเหมือนกัน สามารถใช้เวลานี้เฝ้าสังเกตนางอย่างระมัดระวัง”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์