สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 789

ฟางรั่วรับน้ำพุวิญญาณมาอย่างไม่ลังเล และดื่มหมดในครั้งเดียว

จากนั้นก็ลุกขึ้นพูดว่า “ข้าน้อยจะไปปฏิบัติภารกิจเดี๋ยวนี้”

นางเปิดประตูด้วยฝีเท้าที่โซเซ เดินออกไปอย่างล้มลุกคลุกคลาน

เย่จิ่งอวี้เหลือบมองอินชิงเสวียนและถามว่า “ท่าทางของนางจะไหวหรือไม่?”

อินชิงเสวียนพูดอย่างราบเรียบว่า “นี่คือทางที่นางเลือกด้วยตัวเอง แม้ต้องร้องไห้ก็เดินให้ถึง”

นี่ถือเป็นการฝึกฝนฟางรั่วในอีกรูปแบบหนึ่ง ผู้ที่กระทำการใหญ่ต้องเริ่มจากลำบากกายาเคี่ยวเข็ญถึงเอ็นกระดูก ให้อดทนอดอยากอาหาร นี่คือคำพูดที่โด่งดังชั่วกาล

เส้นทางเมื่อวัยเยาว์ ฟางรั่วไม่มีสิทธิ์ได้เลือก วันนี้นางเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว นางควรจะรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตัวเอง

เย่จิ่งอวี้เลิกคิ้ว รู้สึกราวกับว่าภาวะจิตใจของเด็กสาวคนนี้เปลี่ยนไปอีกแล้ว นางมีพลังอำนาจมากยิ่งขึ้น ดวงตาที่เหมือนพระจันทร์เสี้ยวนั้นมั่นคงและกล้าหาญ ถือเป็นสตรีผู้ไม่ยอมเป็นรองบุรุษอย่างแท้จริง

อินชิงเสวียนหันหน้ามา เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งอวี้ยิ้มตาหยีและมองมาที่ตัวเอง ก็ถามขึ้นด้วยรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้ “เหตุใดท่านจึงมองข้าเช่นนี้?”

เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความจริงใจว่า “ข้าเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเสวียนเอ๋อร์ เมื่อเทียบกับเด็กสาวคนก่อนที่มีไหวพริบปฏิภาณ ตอนนี้เสวียนเอ๋อร์มีกิริยาท่าทางเหมือนท่านพ่อของเจ้ามากทีเดียว”

อินชิงเสวียนยิ้มหวาน

“นี่นับว่าเป็นคำชื่นชมข้าใช่หรือไม่?”

เย่จิ่งอวี้เกาเบาๆ ที่สันจมูกสูงโด่งของนาง

“เจ้าคิดอย่างไรเล่า?”

อินชิงเสวียนคว้านิ้วมือเรียวยาวของเขาไว้ และมองเขาด้วยสายตาตำหนิ

“ข้าจะไปหาจ้าวเอ๋อร์แล้ว”

เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู จู่ๆ ก็นึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้

เย่จั้นเคยเล่าว่า ตอนที่อินหลีหายตัวไป มีคนเคยได้ยินเสียงกระพรวน หรือว่าเริ่มต้นทิศทางผิดตั้งแต่แรก?

คนที่พาตัวอินหลีไปไม่ใช่เย่จั้น แต่เป็นชายประหลาดคนนั้นที่พุ่งเป้ามายังเย่จิ่งอวี้ตลอดเวลา?

“เสวียนเอ๋อร์คิดอะไรได้อีกงั้นหรือ?”

เมื่อเห็นสาวน้อยชะงักฝีเท้าลง เย่จิ่งอวี้เดินมาที่ข้างกายนาง และถามอย่างละเอียด

“จู่ๆ ข้าก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ การหายตัวไปของท่านอาน้อยอาจเกี่ยวข้องกับชายประหลาดชุดดำคนนั้น”

อินชิงเสวียนนำเรื่องที่เย่จั้นบอกเล่าให้เย่จิ่งอวี้ฟัง

“หากครั้งหน้าพบชายประหลาดคนนั้นอีก จะต้องถามเขาให้ได้เลย”

เย่จิ่งอวี้ตกใจเล็กน้อย

“เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินเสวียนเอ๋อร์พูดเรื่องนี้มาก่อน?”

อินชิงเสวียนพูดด้วยความรู้สึกผิด “ข้าก็เพิ่งนึกขึ้นได้เช่นกัน ข้ารู้สึกผิดต่อท่านอาน้อยเสียจริง”

เย่จิ่งอวี้พยักหน้าแล้วพูดว่า “ตอนนี้สภาพร่างกายของคนนี้อาจทนได้อีกไม่นานนัก แม้ว่าจะพยายามทำทั้งที่รู้ว่าทำไม่ได้ แต่เขาก็ต้องยอมเสี่ยงเพื่อมาหาข้าที่นี่แน่นอน หรืออาจสร้างฉากนองเลือดครั้งใหญ่”

เขาเดินมาถึงหน้าประตู มองดูนกที่เกาะอยู่บนต้นไม้ เสียงของเขาก็ขรึมขึ้นเล็กน้อย

“สองวันนี้ข้าไปที่สำนักกระบี่สังหารกับท่านตาก็เพื่อเรื่องนี้ เพื่อจัดการคนสารเลวคนนั้น ลูกศิษย์ที่ออกลาดตระเวนในแต่ละสำนักต่างต้องเปลี่ยนเป็นยอดฝีมือชั้นสูง โศกนาฏกรรมครั้งก่อนจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก”

อินชิงเสวียนพยักหน้าพูดว่า “คนผู้นี้มีวิทยายุทธ์แข็งแกร่ง วิชาตัวเบาก็ยอดเยี่ยมที่สุด แม้ท่านตาบอกว่าพลังยุทธ์ของเขาแย่ลง แต่ก็ไม่สามารถจัดการได้ด้วยวิธีการธรรมดา”

การฝังโลหิตทำได้เพียงเวลาที่เย่จิ่งอวี้จิตใจอ่อนแอเท่านั้น จึงจะสามารถฉวยโอกาสได้ สิ่งเดียวที่ใช้กระตุ้นเย่จิ่งอวี้ คือการนองเลือดเป็นวงกว้างขนาดใหญ่

เมื่อนึกถึงการตายอย่างน่าสังเวชของลูกศิษย์แต่ละสำนึกเมื่อหลายวันก่อน อินชิงเสวียนก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

เจ้าสำนักเซี่ยวไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้มากนัก เพราะนั้นคือท้องทะเลที่กว้างใหญ่ สามารถพลิกคว่ำได้ตลอดเวลา เป็นเรื่องยากที่จะล่องเรือข้ามทะเลไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือการตามหาเกาะเล็กๆ ที่อยู่ท่ามกลางท้องทะเลที่ไร้ขอบเขต

แต่เขายังคงให้กำลังใจผู้เยาว์ เพราะอย่างไรความคิดนี้ก็เป็นสิ่งที่ดี ในฐานะผู้อาวุโส แม้ว่าเขาจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ควรทำให้ผู้เยาว์ต้องท้อใจ

เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่ง อินชิงเสวียนย้ายโต๊ะทำงานมาที่ริมทะเล เย่จิ่งหลานทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านเทคนิคเป็นการชั่วคราว เย่จิ่งอวี้มีหน้าที่ควบคุมดูแลการทำงาน

แม้เย่จิ่งหลานจะเป็นคนยุคปัจจุบัน แต่น่าเสียดายที่เขาเรียนสาขาการแพทย์ มีสิ่งของอีกมากมายที่เขาไม่เข้าใจเช่นกัน เพียงแค่หนังสือทางด้านนี้ อินชิงเสวียนก็แลกมามากถึงยี่สิบกว่าเล่ม

ในระหว่างที่ทุกคนยุ่งวุ่นวายกับการต่อเรือ ท่านอ๋องโมริตะกำลังถูกตำหนิอยู่ในพระราชวัง

ทรัพยากรบนเกาะเริ่มร่อยหรอลงเรื่อยๆ จักรพรรดิแทบแทะเปลือกไม้อยู่แล้ว หากยังยึดครองเป่ยไห่ไม่ได้ก็จำเป็นต้องพ่ายแพ้เพราะตัวเอง

“ไอ้พวกโง่ ไอ้พวกไร้ประโยชน์ ใช้กำลังยอดฝีมือไปตั้งมากมาย แต่ไม่สามารถยึดครองเป่ยไห่ได้ พวกเจ้ายังมีหน้ากลับมาอีกงั้นหรือ?”

รูปร่างหน้าตาของจักรพรรดิค่อนข้างแตกต่างจากชาวตงหลิวที่รูปร่างเตี้ยม่อต้อ ชายผู้นี้มีรูปร่างสูงโปร่ง อายุราวห้าสิบปี และมีลักษณะคล้ายชาวดินแดนจงหยวน

น้ำเสียงราวกับระฆังใหญ่ เต็มไปด้วยพลังอำนาจ

ท่านอ๋องโมริตะและแม่ทัพอีกสองคนคุกเข่าอยู่บนพื้น เหงื่อไหลท่วมแผ่นหลัง

หนึ่งคนในนั้นพูดขึ้นอย่างกล้าหาญว่า “จักรพรรดิผู้ที่มีความรอบรู้ ไม่ใช่เพราะพวกข้าไร้ความสามารถ แต่เป็นเพราะพิณการเวกมีความเก่งกาจมากเกินไป ไม่เพียงแต่สามารถขัดขวางการรุกของเราเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อจิตใจของผู้คนอีกด้วย รวมทั้งผู้หญิงที่บรรเลงพิณก็ต่างจากคนก่อนอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ”

ท่านอ๋องโมริตะรีบพูดขึ้นว่า “เป็นจริงดังนั้น เมื่อก่อนข้าเคยได้ยินว่าผู้ที่บรรเลงพิณการเวกจะโดนแว้งกัด ยากที่จะทนอยู่ได้ แต่ดูเหมือนว่าสาวน้อยผู้นี้จะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย”

จักรพรรดิพูดด้วยเสียงกระฟัดกระเฟียด “นี่มันข้ออ้างทั้งเพ ในเมื่อพวกเจ้ารู้พลังอานุภาพของพิณการเวก เหตุใดจึงไม่ลงมือทำลายมันเสีย?”

ท่านอ๋องโมริตะเช็ดเหงื่อเย็นบนศีรษะและพูดว่า “คือว่า... ตอนนี้เป่ยไห่มีการคุ้มกันหนาแน่น ยากที่เข้าไปได้พ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เช่นนั้นก็ต้องหาทางเข้าไปให้ได้ ใช้เวลาให้มากขึ้นเพื่อใช้ทางอ้อมไป”

เขาชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็พูดด้วยความเย็นยะเยือกว่า “รูปร่างหน้าตาของพวกเจ้าไม่เหมือนชาวดินแดนจงหยวน ไปคัดเลือกผู้ที่รูปร่างสูงใหญ่ ภายในหนึ่งเดือนต้องกำราบเป่ยไห่ให้ได้ และทำการโยกย้ายครั้งใหญ่ให้สำเร็จ!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์