สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 844

ระหว่างที่สองคนพูดคุยกัน อินชิงเสวียนได้นำเป่าเล่อเอ่อร์มายังห้องพักของเย่จิ่งหลาน

“รีบตรวจให้นางหน่อยสิ ดูว่ามีโรคเกิดจากสารอินทรีย์หรือไม่?”

เย่จิ่งหลานกำลังอ่านนิยายอยู่ในห้อง เมื่อเห็นอินชิงเสวียนอุ้มคนหนึ่งเข้ามา เขาจึงกลอกตาแล้วพูดว่า “ใครอีกเนี่ย?”

“องค์หญิงน้อยแห่งเจียงวู เป่าเล่อเอ่อร์”

อินชิงเสวียนพูดรวบรัดชัดเจน

นางก็ไม่ได้อยากทรมานเย่จิ่งหลาน แต่คิดว่าการได้ตรวจสักหน่อยก็จะทำให้สบายใจยิ่งขึ้น หากเป็นเพียงแค่หนอนกู่ก่อกวน นางค่อยไปหาเซี่ยวอิ๋นหวนก็ยังไม่สาย

“หา? นางมาถึงเป่ยไห่ได้อย่างไร?”

เย่จิ่งหลานโยนนิยายลง ค้ำเตียงและลุกขึ้นนั่ง

“เป็นเพราะนังสารเลวจูอวี้เหยียนก่อเรื่องเอาไว้”

อินชิงเสวียนนำเรื่องที่เป่าเล่อเอ่อร์มีพิษกู่ในร่างกาย และเรื่องที่แท้งลูกเล่าให้เขาฟังคร่าวๆ

เย่จิ่งหลานด่าออกมาอย่างอดไม่ได้ “นังดอกทองนั่นช่างขาดศีลธรรมจริงๆ โชคดีที่นางตายไปแล้ว ไม่เช่นนั้นจะทำร้ายผู้อื่นอีกกี่คน”

เขายกมือเรียกมิติห้องรักษา แต่สองเท้ายังขยับได้ไม่สะดวกนัก อินชิงเสวียนรีบพูดว่า “เจ้าไม่ต้องลุก บอกข้าว่าเครื่องมือใช้อย่างไรก็พอแล้ว?”

เย่จิ่งหลานเลิกดวงตาหัวเราะแล้วพูดว่า “นับว่าเจ้ายังมีจิตสำนึกอยู่บ้าง ก็ได้ เช่นนั้นเจ้าทำเองเลย”

อินชิงเสวียนกลอกตามองบนใส่เขา และอุ้มเป่าเล่อเอ่อร์ขึ้นไปตรวจบนเตียง

เครื่องมือทั้งหมดได้รับการตรวจสอบแล้วและไม่มีปัญหาสำคัญใดๆ สิ่งเดียวที่ผิดปกติก็คือหน้าท้องของเป่าเล่อเอ่อร์ ซึ่งอัลตราซาวนด์เห็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก

เย่จิ่งหลานเหลือบมองเครื่องสะท้อนภาพสามมิติ

“เจ้าสิ่งนี้ก็น่าจะเป็นหนอนกู่แล้วล่ะ หากต้องการผ่าตัด เกรงว่าต้องรอข้าพักฟื้นอีกสักสองวัน”

เมื่อนึกถึงการผ่าตัดให้เย่จั้นในครั้งก่อนไม่ได้ผลมากนัก อินชิงเสวียนจึงรีบพูดว่า “ไม่เป็นไร ที่นี่มีคนช่วยได้”

เย่จิ่งหลานนอนลงด้วยความดีใจในทันที

“เช่นนั้นก็ดีมาก เผื่อว่าการผ่าตัดไม่สำเร็จ ข้าจะได้ไม่ต้องถูกหักคะแนนสะสม”

อินชิงเสวียนกลอกตามองเขาอย่างไร้คำจะพูด

“เจ้ามัวเป็นกังวลเรื่องคะแนนสะสมไปทำไมกัน มีอะไรที่อยากได้งั้นหรือ ข้าแลกให้เจ้าก็ได้”

เย่จิ่งหลานคลานขึ้นมาอีกครั้งด้วยความดีใจ

“ข้าอยากได้ของไม่น้อยเลยนะ เจ้าไม่เสียดายงั้นหรือ?”

“สำหรับเจ้า ข้าไม่มีสิ่งใดที่ต้องเสียดาย”

“เช่นนั้นก็ได้ อีกประเดี๋ยวข้าจะเขียนรายการให้”

เย่จิ่งหลานพูดอย่างไม่เกรงใจ

“ไม่มีปัญหา ข้าไปหาผู้คุมตราเซี่ยวก่อน อีกสักครู่จะมาหาเจ้าใหม่”

อินชิงเสวียนจัดระเบียบเสื้อผ้าให้เป่าเล่อเอ่อร์ และพานางไปยังเรือนด้านหลัง

เมื่อเห็นร่างเงาของอินชิงเสวียนที่เดินออกไป เย่จิ่งหลานอดไม่ได้ที่จะเม้มมุมปาก และรอยยิ้มราวกับดอกไม้ที่เบ่งบาน

หวังซุ่นขยับผ้าม่านออกเล็กน้อยและถามว่า “เหตุใดท่านอ๋องน้อยจึงดีใจเช่นนี้?”

เย่จิ่งอวี้กระแอมไอแล้วพูดว่า “ได้ของมาโดยไม่ต้องเสียอะไรไป มีแต่คนโง่ที่จะไม่ดีใจ”

จากนั้นก็ด่าอีกว่า “ดูรูปวาดของเจ้าต่อไปเถอะ พูดไร้สาระจริงๆ”

หวังซุ่นตกใจจนต้องหดตัวกลับไปทันที

เย่จิ่งหลานหยิบนิยายขึ้นมาอีกครั้ง มุมปากก็โค้งขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

อินชิงเสวียนได้อุ้มเป่าเล่อเอ่อร์มายังห้องพักของผู้คุมตราเซี่ยว

เจ้าสำนักเซี่ยวก็อยู่ด้วย สองพ่อลูกกำลังหยอกล้อเสี่ยวหนานเฟิง

ท่านผู้เฒ่าเซี่ยวได้ยินว่ามีคนมาหาอินชิงเสวียน เพื่อไม่ให้เด็กสาวต้องคิดมาก เขาจึงไม่ได้เข้าไปถาม

เดิมทีคิดว่าตอนกินอาหารเย็น ทุกคนคงได้พบหน้ากันอย่างเป็นทางการ ไม่คิดว่าเด็กสาวกลับอุ้มคนเข้ามาที่นี่

“ชิงเสวียนขอพบท่านแม่ ขอพบท่านตา”

เมื่อสิ้นเสียงพูด ก็ได้ยินเสียงของเป่าเล่อเอ่อร์ครางออกมา และนางก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

เมื่อเห็นคนแปลกหน้าอยู่ตรงหน้า นางก็ตกใจในทันที

“นี่… คือที่ใด?”

อินชิงเสวียนเก็บพิณการเวก เดินเข้าไปจับมือของเป่าเล่อเอ่อร์

“ที่นี่คือเป่ยไห่ พี่ใหญ่ของข้าพาท่านมาที่นี่ ตอนนี้ท่านปลอดภัยแล้ว ข้าจะพาท่านไปพบเขาเดี๋ยวนี้”

เป่าเล่อเอ่อร์จำอินชิงเสวียนได้ สีหน้าตื่นตระหนกก็ลดลงทันที

“ท่าน... กุ้ยเฟย”

“ข้าเอง พวกเรากลับก่อนเถอะ”

อินชิงเสวียนพยุงเป่าเล่อเอ่อร์ลุกขึ้น พูดกับเจ้าสำนักเซี่ยวและท่านแม่ว่า “พรุ่งนี้ชิงเสวียนค่อยพาเป่าเล่อเอ่อร์มาขอบคุณท่านตาและท่านแม่อีกครั้งนะเจ้าคะ”

เจ้าสำนักเซี่ยวลูบเครายิ้มและพูดว่า “การพักฟื้นสำคัญที่สุด ไม่จำเป็นต้องสนใจพิธีหยุมหยิมเหล่านี้ ไปเถอะ”

อินชิงเสวียนพยักหน้าด้วยความขอบคุณ และพยุงเป่าเล่อเอ่อร์ไปด้านนอกประตู

“เดินไหวหรือไม่?”

เป่าเล่อเอ่อร์พูดด้วยความอ่อนเพลีย “ข้าเดินไหว สิงอวิ๋นเขา... อยู่ที่ใด?”

“พี่ใหญ่กำลังพูดคุยอยู่กับฝ่าบาท หากเห็นว่าท่านฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาต้องดีใจมากแน่นอน”

อินชิงเสวียนยื่นมือเปิดประตู เป่าเล่อเอ่อร์มองเห็นอินสิงอวิ๋นที่นั่งอยู่ข้างเตียงในทันที จึงตะโกนเรียกด้วยความตื่นเต้นดีใจ

“สิงอวิ๋น!”

อินสิงอวิ๋นไม่คิดว่าเป่าเล่อเอ่อร์จะดีขึ้นเร็วขนาดนี้ เขาขยี้ตาและมั่นใจว่าเป็นเป่าเล่อเอ่อร์จริงๆ จึงรีบวิ่งมาที่ประตู พร้อมกอดนางไว้ในอ้อมอก

เมื่อเห็นสองสามีภรรยาใกล้ชิดกันเช่นนี้ เย่จิ่งอวี้ก็กระตุกยิ้มที่มุมปาก และจับมือของอินชิงเสวียน

ถามขึ้นเบาๆ ที่ข้างหูของนาง “คำพูดที่เสวียนเอ๋อร์พูดไว้ก่อนหน้านี้ ยังนับอยู่หรือไม่?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์