อินชิงเสวียนรีบน้อมตัว
“คารวะท่านตา คารวะผู้อาวุโสสวี ทำให้ผู้อาวุโสทั้งสองต้องเป็นกังวลแล้ว”
เมื่อเห็นสาวน้อยมีชีวิตชีวาและมีพละกำลัง คิ้วที่ขมวดแน่นของเจ้าสำนักเซี่ยวของคลายออกในชั่วพริบตา
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นผลลัพธ์ของน้ำพุวิญญาณ เด็กสาวคนนี้มีคุณสมบัติล้ำค่า เกรงว่ายมบาลก็ไม่กล้านำตัวไป
ผู้อาวุโสสวีลูบเครา หัวเราะเหอะๆ แล้วพูดว่า “เจ้าเป็นถึงกำลังหลักในสงครามครั้งนี้ หากไร้ซึ่งการเข้าสกัดของพิณการเวก พวกเราคงไม่สามารถกวาดล้างชาวตงหลิวทั้งหมดเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ สงครามครั้งนี้ได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ นับจากนี้ไปอีกหลายสิบปี คงไม่ต้องเป็นกังวลว่าพวกเขาจะมาก่อความวุ่นวายที่เป่ยไห่อีกแล้วล่ะ”
“ผู้อาวุโสสวีชมข้าเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก และยังบุกเข้าไปในค่ายกลโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ทุกคนต้องเป็นห่วง”
อินชิงเสวียนพูดจบก็ถามอีกว่า “ชาวตงหลิวเหล่านั้นตายหมดแล้วจริงๆ หรือเจ้าคะ?”
เจ้าสำนักเซี่ยวพูดด้วยจิตใจที่อิ่มเอิบว่า “ตอนนี้ไม่เหลือผู้รอดชีวิตเลย เพียงแค่ศพก็กองรวมกันเป็นภูเขาลูกเล็กแล้ว ครั้งนี้พวกเขาคงไม่มีเรี่ยวแรงจะโจมตีกลับแล้วล่ะ”
เย่จิ่งหลานกลับไม่ได้มองโลกในแง่ดีขนาดนั้น
ผู้ที่ตายล้วนเป็นหนุ่มสาววัยกลางคน ส่วนคนแก่เด็กและสตรียังอยู่บนเกาะอย่างแน่นอน หลังจากนี้อีกไม่กี่สิบปี เมื่อเด็กเหล่านั้นเติบโตขึ้น โศกนาฏกรรมในวันนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้ง
มีเพียงกวาดล้างพวกเขาให้หมดสิ้น จึงจะเรียกว่าไม่มีเรื่องทุกข์โศกให้กังวลใจอย่างแท้จริง
เขาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะพิชิตเกาะตงหลิวให้สิ้นซาก ไม่เช่นนั้นจะไม่กลับเมืองหลวงเด็ดขาด
อินชิงเสวียนพูดด้วยความพอใจว่า “นับว่าความพยายามของพวกเราไม่เสียเปล่า อีกไม่นาน ประชาชนก็สามารถกลับมาจับปลาที่เป่ยไห่ได้แล้ว”
ผู้อาวุโสสวีพูดด้วยความรู้สึกปลงว่า “จริงด้วย เดิมทียังคิดว่าอาจต้องลากยาวถึงปีสองปี ไม่คิดว่าจะจัดการได้รวดเร็วเช่นนี้ นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากสำหรับประชาชน ให้ข้าตรวจชีพจรให้พวกเจ้าทั้งสองก่อน หากไม่เป็นอะไรแล้ว ข้าจะกลับไปดูแลหงยวน ถึงตอนนี้เจ้าเด็กนั่นก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเสียที ทำให้ข้าเป็นห่วงเสียจริง”
เมื่อพูดถึงเก่อหงยวน สีหน้าของผู้อาวุโสสวีก็ดูแย่ไม่น้อย
ผู้อาวุโสสวีไม่ได้พูดอะไรอีก ประสานมือคำนับและออกไปจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์
หลังจากเขาไปแล้ว อินชิงเสวียนก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “สรุปว่าค่ายกลที่เก่งกาจเช่นนั้น ถูกทำลายได้อย่างไรเจ้าคะ?”
เจ้าสำนักเซี่ยวครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เป็นนักรบชุดดำที่มีวิทยายุทธ์แก่กล้าผู้หนึ่ง เขาผู้นี้ค่อนข้างคุ้นเคยกับค่ายกล คิดว่ามีต้นกำเนิดเกี่ยวโยงกับสำนักเต๋าอยู่บ้าง น่าเสียดายที่เขาไม่ได้บอกชื่อเสียงเรียงนามเอาไว้ หลังจากทำลายค่ายกลได้ เขาก็จากไป”
อินชิงเสวียนรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
“เป่ยไห่เป็นสถานที่สำหรับกลุ่มคนไม่ธรรมดามารวมตัวกันจริงด้วย!”
เจ้าสำนักเซี่ยวพยักหน้า
“ยังไม่ต้องพูดเรื่องเหล่านี้หรอก ข้าให้คนต้มข้าวให้เจ้าแล้ว พวกเจ้ากินเสร็จก็รีบพักผ่อน สิ่งสำคัญคือการดูแลตัวเองให้ดี พวกเจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องอื่นแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...