สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 964

“อาอวี้คิดสิ่งใดงั้นหรือ?”

หน้าประตูตำหนักจินหวู อินชิงเสวียนหยุดฝีเท้าลง มองไปที่เย่จิ่งอวี้ด้วยยิ้มแสนหวาน

เย่จิ่งอวี้ยิ้มอย่างงดงาม

“ไม่มีอะไร”

“เด็จพ่อ~”

เสียงนุ่มนิ่มของเสี่ยวหนานเฟิงดังขึ้นมาจากด้านหน้า อินชิงเสวียนหันหน้ามาก็เห็นร่างเล็กที่ผุดผ่องในทันที

เย่จิ่งอวี้รีบเดินอยู่หลายก้าว และอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นมา

“คิดถึงเสด็จพ่อแล้วใช่ไหม?”

เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กออกมา ออกแรงกอดคอของเย่จิ่งอวี้ ใบหน้าเล็กที่เรียบเนียนถูกับแก้มของเขา พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่มว่า “คิดคิด~”

เย่จิ่งอวี้หอมใบหน้าที่นุ่มนวลเหมือนราวกับผ้าแพร

“เสด็จพ่อก็คิดถึงจ้าวเอ๋อร์แล้ว สองวันนี้จ้าวเอ๋อร์เป็นเด็กดีหรือไม่?”

เสี่ยวหนานเฟิงยืดหน้าอกเล็กๆ ของเขาขึ้นในทันทีและพยักหน้าเล็กๆ ราวกับไก่จิกข้าวสาร

“จ้าวเอ๋อร์เด็กดี!”

“ลูกรัก”

เย่จิ่งอวี้อุ้มลูกชายเข้ามาในตำหนัก ทันใดนั้นก็พบว่าบนเบาะนุ่มมีการ์ดใบเล็กๆ วางไว้มากมาย ด้านบนเขียนบทกวีรื่นหู เข้าใจง่าย และยังมีภาพประกอบที่เกี่ยวข้องกันด้วย เหมาะสำหรับจุดประกายสติปัญญา

การ์ดใบเล็กที่สวยงามเช่นนี้ ต้องเป็นอินชิงเสวียนที่เอามาจากในมิติอย่างแน่นอน จึงเอ่ยชมอย่างอดไม่ได้ว่า “บทกวีเหล่านี้ไม่เลวเลยทีเดียว จ้าวเอ๋อร์จำได้บ้างหรือไม่?”

เสี่ยวหนานเฟิงยื่นก้นเล็กๆ ปีนขึ้นไปบนเบาะนุ่ม เขาพูดด้วยดวงตาสีดำรูปพระจันทร์เสี้ยวว่า “จำจำได้”

อินชิงเสวียนนั่งลงข้างๆ ลูบศีรษะเล็กๆ ของเขาแล้วพูดว่า “รีบท่องให้เสด็จพ่อของเจ้าฟังสักสองสามบทสิ”

เสี่ยวหนานเฟิงนั่งตัวตรงในทันที และท่องออกมาด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย “สงสารชาวนา พรวนดินยามแดดเปรี้ยงเที่ยงวัน เหงื่อหยดเผาะบนดินใต้กล้า ใครจะรู้ว่าข้าวในจาน ทุกเมล็ดได้มาแสนเหนื่อยยาก โคลงห่าน เจ้าห่านเอ๋ย โก่งคอส่งเสียงร้อง ขนสีขาวลอยล่องบนน้ำสีเขียว เท้าสีแดงดั่งไม้พายในสายน้ำ รุ่งอรุณฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ผลิหลับใหลไม่รู้ตื่น ทุกแห่งหนได้ยินเสียงปักษาร้อง ค่ำคืนเสียงลมฝนโปรยปราย ดอกไม้มิรู้โรยไปเท่าใด...”

เสี่ยวหนานเฟิงท่องโคลงกลอนบทกวีสิบกว่าบทรวดเดียว เย่จิ่งอวี้ได้ฟังก็พยักหน้าอย่างต่อเนื่อง

อีกหนึ่งเดือนจ้าวเอ๋อร์ก็จะครบหนึ่งขวบแล้ว เด็กทารกอายุแค่นี้ก็สามารถจดจำอะไรได้มากมาย นับว่าเก่งมากจริงๆ ไม่แปลที่ท่านแม่จะบอกว่า จ้าวเอ๋อร์ฉลาดกว่าตัวเองตอนเด็กมากทีเดียว

“จ้าวเอ๋อร์คนเก่ง ท่องได้ดีมากจริงๆ อยากได้รางวัลอะไร เสด็จพ่อให้เจ้าทั้งหมดเลย!”

เย่จิ่งอวี้อุ้มลูกชาย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุข

เสี่ยวหนานเฟิงเงยหน้าเล็ก และครุ่นคิดอย่างตั้งใจ

“เด็จพ่อเล่นกับจ้าวเอ๋อร์~”

เย่จิ่งอวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “ได้ เจ้าอยากเล่นอะไร วันนี้สด็จพ่อจะไม่ไปไหน และอยู่เล่นกับเจ้าที่ตำหนักจินหวูทั้งวันเลย”

จ้าวเอ๋อร์พยักหน้าด้วยความดีใจ

“เล่นนักอินทรีจับลูกไก่”

พูดจบก็ปีนลงจากเบาะนุ่ม ดึงมือของเย่จิ่งอวี้วิ่งออกไปด้านนอก

เมื่อเห็นสองพ่อลูกที่เหมือนเด็กๆ อินชิงเสวียนก็ส่ายหน้าอย่างจนใจ หลายวันนี้เย่จิ่งอวี้อยู่เล่นกับเสี่ยวหนานเฟิงตลอดทุกวัน แทบจะเป็นหัวโจกเด็กน้อยอยู่แล้ว

นางเก็บการ์ดใบเล็กที่กระจายเต็มเบาะนุ่ม ในใจก็ชื่นชมอย่างอดไม่ได้ เสี่ยวหนานเฟิงฉลาดมากจริงๆ

บทกวีเหล่านี้สอนเพียงรอบสองรอบ เขาก็จำได้หมดแล้ว แม้ว่าสมัยโบราณให้ความสำคัญกับการท่องกลอนแต่งบทกวี แต่สำหรับอินชิงเสวียนแล้ว เรื่องเหล่านี้ไม่ค่อยมีประโยชน์ใช้สอยมากนัก หากต้องการให้เสี่ยวหนานเฟิงเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง คงต้องสอนตามแบบฉบับของคนยุคใหม่

เพราะอย่างไรก็ไม่มีอะไรทำในวังอยู่แล้ว เปิดโรงเรียนกวดวิชาส่วนตัวให้เสี่ยวหนานเฟิงคงเป็นการดีกว่า และตัวเองเป็นคุณครูของเขา

อินชิงเสวียนตัดสินใจได้ก็เข้าไปในมิติ เพื่อหาแบบการเรียนรู้ที่เหมาะสมในการจุดประกายความคิดเด็ก

เพียงชั่วพริบตาเดียว หนึ่งสัปดาห์ก็ผ่านไป

โหราจารย์ได้คำนวณมงคลฤกษ์ออกมาแล้ว พิธีแต่งตั้งฮองเฮาถูกกำหนดไว้สามวันหลังจากนี้

ยามเช้าตรู่ เสี่ยวอานจื่อวิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าดีใจ

“เหนียงเหนียง เครื่องทรงฮองเฮาตัดเย็บเรียบร้อยแล้ว หมัวมัวที่เป็นหัวหน้างานทอผ้าได้นำเครื่องทรงฮองเฮามาถวาย กำลังอยู่ด้านนอกเพื่อให้เหนียงเหนียงได้ทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ”

หมัวมัวที่เป็นผู้ทอผ้าก็ตามเข้ามาตรวจดู ต่างก็รู้สึกว่านี่คือชุดที่ไร้ที่ติอย่างมาก พอดีไปหมดทุกส่วน

พวกนางตัดเย็บเสื้อผ้าให้นางสนมนางกำนัลมาไม่น้อย การแก้ไขชุดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ครั้งนี้กลับไร้ที่ติ ราวกับว่าชุดนี้ถูกตัดมาเพื่ออินชิงเสวียนโดยเฉพาะ

หัวหน้ายายเฒ่าอาวุโสเอ่ยชมอย่างอดไม่ได้ว่า “หวงกุ้ยเฟยเป็นผู้มีบารมีที่สวรรค์ทรงเลือก สมแล้วที่ถูกเลือกให้เป็นฮองเฮา ชุดนี้ช่างเหมาะสมกับพระองค์มากจริงๆ”

ยายหลี่เช็ดน้ำตาอย่างอดไม่ได้ และพูดอยู่ข้างๆ ด้วยเสียงสะอื้น “จริงด้วย สวยมาก สวยมากเลยจริงๆ!”

อวิ๋นฉ่ายและจังอวี้จิ่นก็จับมือกันอย่างอดไม่ได้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความปีติยินดี

อินชิงเสวียนก็ค่อนข้างพึงพอใจกับเครื่องทรงฮองเฮาที่เคร่งขรึมโอ่อ่า

“เหมาะมากจริงๆ ขอบใจหมัวมัวทุกคนมาก”

หัวหน้าหมัวมัวรีบน้อมตัวพูดว่า “ได้ตัดเครื่องทรงฮองเฮาถวายแก่เหนียงเหนียง นับเป็นเกียรติของพวกหม่อมฉันเพคะ หากเหนียงเหนียงคิดว่าไม่ต้องแก้ไข พวกหม่อมฉันขอทูลลาเพคะ”

“เสี่ยวอานจื่อ ตกรางวัล!”

นี่คือการทักทอทีละเส้นของเหล่าหมัวมัว หากอยู่ในยุคสมัยปัจจุบัน ค่าแรงปักผ้าอาจมากกว่าราคาของชุดเสียอีก

เสี่ยวอานจื่อคว้าก้อนทองมาสองสามกำ หมัวมัวทุกคนต่างกล่าวขอบคุณ โน้มตัวและถอยออกไป

อวิ๋นฉ่ายและจังอวี้จิ่นรีบเดินเข้ามา เพื่อช่วยอินชิงเสวียนถอดชุดพระราชพิธีที่ยุ่งยากออก

วินาทีที่ถอดมงกุฎฮงเฮาออก อินชิงเสวียนก็ถอนหายใจในทันที

“หนักมาก!”

อวิ๋นฉ่ายยิ้มแล้วพูดว่า “ดอกไม้เหล่านี้ทำจากทองคำบริสุทธิ์ทั้งหมด มีสิบสองคู่ ดังนั้นจึงค่อนข้างหนักอยู่แล้วเพคะ”

ยายหลี่รีบพูดต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้นลูกปัดมขนาดเท่าลูกองุ่น รวมทั้งเลื่อมทองบนเนื้อผ้า จึงต้องมีน้ำหนักมากสิเพคะ”

อินชิงเสวียนยักไหล่

“อยากสวมมงกุฎก็ต้องรับภาระอันหนักอึ้งด้วยสินะ”

นางยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ ก็เกิดอาการคลื่นไส้

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์