สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 985

อินสิงอวิ๋นพูดด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว “ในเมื่อน้องหญิงใหญ่เลือกที่จะออกจากวังเพียงลำพัง ก็พิสูจน์ได้ว่าศัตรูในครั้งนี้แข็งแกร่งมาก แม้แต่นางยังไม่มั่นใจว่าจะชนะ ขืนเราวิ่งหัวหกก้นขวิดไปมั่วซั่ว จะกลายเป็นว่าโดนคนอื่นจับตัวไป มิทำให้น้องหญิงใหญ่ร้อนใจมากกว่าเดิมหรอกหรือ”

อินปู้อวี่กระทืบเท้าด้วยความโกรธ

“แล้วเราจะทำอย่างไรดี หรือผู้ชายบ้านเราจะปล่อยให้น้องหญิงใหญ่เสี่ยงอันตรายโดยไม่สนใจ หดหัวอยู่ในเมืองเหมือนเต่าขี้ขลาดงั้นหรือ”

อินจ้งหายใจยาว ขยำจดหมายในมือ หยิบตะบันไฟออกมา และเผาจดหมายจนเป็นเถ้าถ่าน

ครั้นนึกถึงคำขอโทษที่ท้ายจดหมาย ดวงตาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง

เมื่อถึงวัยในปัจจุบันของเขา จะยังสนใจเรื่องเป็นขุนนางอยู่อย่างนั้นหรือ สิ่งที่เขาสนใจตอนนี้ คือลูกชายหญิงของเขา บัดนี้ต้าโจวสงบสุขทั้วทั้งแคว้น ทั้งยังมีท่านอาจารย์เป็นที่ปรึกษานั่งอยู่ในเมืองหลวงด้วย แม้ไม่มีตระกูลอิน ก็ไม่สำคัญ

เรื่องหนทางการเลี้ยงชีพนั้น ยิ่งไม่ต้องกังวล ลำพังแค่ร้านค้านี้ของตระกูลอิน ก็สามารถทำเงินได้หลายแสนตำลึงต่อปี ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่อินชิงเสวียนมอบให้ หากไม่มีนาง วันนี้ตระกูลอินทั้งตระกูลคงได้ทำงานใช้แรงงานอยู่ในเมืองซุ่ยหานแล้ว หากปลีกตัวออกมาในเวลานี้ ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เรื่องของชิงเสวียนก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้

อินจ้งปัดฝุ่นกระดาษบนมือ มองอินปู้อวี้แล้วพูดว่า “พี่ใหญ่เจ้าพูดถูก เมื่อก่อนน้องหญิงใหญ่เจ้ามีนิสัยอ่อนแอ แต่ตั้งแต่เรากลับมาที่เมืองหลวง นางก็ลายเป็นคนใหม่นานแล้ว ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน...

...ตอนนี้นางมีความคิดรัดกุม รอบคอบ ในทุกสิ่งที่นางทำก็มักจะให้ความสำคัญกับสถานการณ์โดยรวมเป็นอันดับแรก จิ้งอ๋องออกจากเมืองหลวงไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว หากฝ่าบาททราบเรื่ององค์ชายน้อย ก็ต้องออกจากวังไปอีกคนเช่นกัน...

...อีกเหตุผลหนึ่งก็อย่างที่พี่ใหญ่เจ้าพูด ศัตรูที่นางพบในครั้งนี้ต้องแข็งแกร่งมาก จนแม้แต่นางและฮ่องเต้ร่วมมือกันยังไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะได้ นางคงไม่อยากทำให้ฝ่าบาทและครอบครัวเดือดร้อน จึง เลือกที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูเพียงลำพัง”

อินปู้อวี่ฟังอยู่นาน แต่ก็ยังไม่สามารถหาวิธีแก้ปัญหาใดๆ ได้ เขาพูดอย่างทนไม่ได้ว่า “ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ใช่เทพเซียน ย่อมมีวิธีจัดการอยู่แล้ว เขาคนเดียวจะเอาชนะกองทัพนับล้านได้กระนั้นหรือ”

อินจ้งพยักหน้า

“เจ้าพูดถูก แต่ใช้กองทัพราชสำนักไม่ได้”

เขาเงยหน้าขึ้นมองอินปู้อวี่

“แผนเดียวในตอนนี้คือ ให้เจ้ามุ่งหน้าไปหาเจ้าสำนักเซี่ยวที่ภูเขาอวิ๋นฉี ในเมื่อเขาเป็นชาวยุทธ์ ย่อมสามารถหาข่าวของชิงเสวียนได้แน่ ด้วยความสัมพันธ์ของเขากับหวนไท่เฟย ไม่มีทางนิ่งดูดายเด็ดขาด”

ดวงตาของอินสิงอวิ๋นสว่างขึ้น เขาลืมเรื่องหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ไปได้อย่างไร

“ขอรับ ลูกจะไปเดี๋ยวนี้ เช่นนั้นท่านพ่อ...ยังอยากอยู่ที่เมืองหลวงต่อหรือไม่”

อินจ้งกล่าวอย่างเด็ดขาด “ไม่ เราจะรีบเก็บข้าวของกันเงียบๆ ออกจากเมืองหลวงคืนนี้ ต้องไม่ให้ฝ่าบาทค้นพบร่องรอยของตระกูลอินเด็ดขาด ยิ่งไม่อาจยอมให้แผนการของน้องหญิงใหญ่เจ้าผิดพลาด...”

ในเวลานี้ อินชิงเสวียนยืนอยู่กลางเรือนจุ้ยหง สวมชุดกระโปรงสีเรียบ ปล่อยชายกระโปรงปลิวไปตามสายลม เกิดเป็นเสียงดังพึ่บพั่บ

นี่เป็นการโกหกคำโต เป็นโทษลบหลู่เบื้องสูงครั้งใหญ่ แต่นางเชื่อว่า หากวันหนึ่งเย่จิ่งอวี้จำนางและเสี่ยวหนานเฟิงได้ เขาจะไม่ตำหนิตระกูลอินและเหล่าขุนนางเพราะเรื่องนี้เด็ดขาด

เขาเป็นกษัตริย์ที่มีเมตตาปรานี เป็นกษัตริย์ที่ปรีชาสามารถของใต้หล้า มีเขาอยู่ ต้าโจวจะเจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน

นางหายใจเข้าลึกๆ ซ่อนใบหน้าหล่อเหลานั้นไว้ในส่วนลึกของหัวใจ แล้วพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้ามาแล้ว คืนลูกชายให้ข้าได้ไหม”

ทันทีที่พูดจบ ชายหนุ่มร่างผอมก็เดินออกมาจากประตูบานหนึ่ง ซึ่งนั่นคือฉางเฮิ่นเทียนที่ติดตามผู้อาวุโสหันมายังเมืองหลวง

“แม่นางอิน”

“เจ้าเป็นใคร แล้วผู้เฒ่าคนนั้นล่ะ”

อินชิงเสวียนถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา เรือนผมยาวราวกับน้ำตกที่พลิ้วไหวในสายลม ดวงตาทั้งคู่เยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง

ฉางเฮิ่นเทียนเหลือบมองนาง ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

“ผู้อาวุโสหันกำลังสอบถามคนอยู่ แม่นางอินโปรดรอสักครู่”

“เจ้ารู้จักข้า?”

มองดูดวงตาที่สงบเล็กน้อยของชายหนุ่ม อินชิงเสวียนก็ถามอย่างเย็นชา

“ไม่ ได้ยินมาจากผู้อาวุโสหันขอรับ”

หลังจากที่ฉางเฮิ่นเทียนพูดจบ ก็มายืนอยู่ข้างๆ

“ท่านทำอะไรกับเขา”

เสี่ยวหนานเฟิงมีคึกคักมีพลังล้นเหลือ ปกติไม่ค่อยได้นอนกลางวัน

ผู้อาวุโสหันพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าแค่จี้สกัดจุดเขาเพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเขาแน่นอน”

เขาหยุดชั่วคราว แล้วพูดว่า “นี่คือวิชาจี้สกัดจุดที่เป็นเอกลักษณ์ของตำหนักเทพ แม้ว่าเจ้าจะแย่งตัวเด็กกลับไปได้ แต่ก็ไม่สามารถคลายจุดของเขาได้ หากฝืนคลายจุด จะกลับกลายเป็นว่าเสียเรื่องได้ หากเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของข้าแล้ว”

อินชิงเสวียนเม้มริมฝีปากอย่างแรง

“ท่านบอกความจริงมาดีกว่า ถ้าเสี่ยวหนานเฟิงได้รับอันตราย ต่อให้สู้จนตัวตาย ข้าก็จะไม่มีทางยอมให้ท่านได้อยู่อย่างสงบสุข”

ผู้อาวุโสหันพูดอย่างช่วยไม่ได้ “แม่ของเจ้าเป็นศิษย์หลานของข้า ข้าจะทำอันตรายกับหลานชายของนางได้อย่างไร เป็นเพราะเจ้าไม่เชื่อข้า ข้าถึงจำใจต้องทำเพราะไม่มีทางเลือกอื่น”

เมื่อมองดูใบหน้าเฒ่าจอมปลอมนี้ อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกคลื่นไส้

นางยิ้มเยาะพูดว่า “ได้ งั้นข้าจะรอจนฟ้ามืด หวังว่าท่านจะรักษาคำพูด อย่าบีบคั้นกันเกินไป”

“ย่อมเป็นเช่นนั้น”

ผู้อาวุโสหันโบกมือ ฉางเฮิ่นเทียนก็อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงกลับไปทันที

ผู้อาวุโสหันเม้มริมฝีปาก พูดกับอินชิงเสวียน “คราวนี้ ผู้ที่เดินทางไปกับเรา อาจจะมีเพื่อนเก่าสองคนของเจ้าด้วย”

เขาสะบัดแขนเสื้อ ประตูด้านหลังก็เปิดออกปัง

อาศัยแสงระเรื่อของดวงตะวันที่กำลังตก อินชิงเสวียนก็จำลักษณะของคนทั้งสองได้อย่างง่ายดาย

คนหนึ่งสวมกระโปรงสีดำ มีผ้าพันคอสีขาว อีกคนหน้าตามีเสน่ห์เย้ายวน แต่ตอนนี้ใบหน้ากลับซีดเซียว แววตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

ซึ่งสองคนนี้คือฉุยอวี้เจ้าสำนักเซียวเหยา และเฟิงเอ้อร์เหนียงนายหญิงที่แท้จริงของเรือนจุ้ยหง!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์