ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 163

ทันทีที่ได้พบพระสนมฮุ่ยเฟย จิ่นอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดใส่สีตีไข่ พูดให้เหลิ่งชิงฮวนดูชั่วร้ายผิดมหันต์มากยิ่งขึ้นไปอีก

สุดท้ายก็เปลี่ยนเรื่องไปเอ่ยถึงเหลิ่งชิงหลาง และเอ่ยชื่นชมอยู่สองสามประโยค จากนั้นก็พูดอ้อมๆไปพูดถึงเรื่องการยกขึ้นมาเป็นลูกภรรยาเอก

พระสนมฮุ่ยเฟยมีความลังเลเล็กน้อย เพราะเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งมาเนิ่นนานแล้ว และเป็นเรื่องที่ไทเฮาเคาะตัดสินไปแล้ว ภรรยาเอกของเหลิ่งเซียงก็จากไปหลายปีแล้ว แต่ก็ยังไม่กล้ายกจินซื่อขึ้นมาเป็นภรรยาเอก และให้ตำแหน่งลูกภรรยาเอกให้กับเหลิ่งชิงหลางและพี่น้องของนางเสียที หากตัวเองทำอะไรบุ่มบ่ามออกหน้าไป ไม่รู้ว่าทางด้านไทเฮาจะคิดอย่างไร

“เจ้าเด็กโง่คนนี้ ทำไมถึงถูกเหลิ่งชิงหลางหลอกให้หลงเชื่อได้ง่ายๆ ถึงขนาดมาพูดดีแทนนางได้เล่า? เจ้าไม่ลองคิดดูหน่อยหรือ หากนางถูกยกตำแหน่งขึ้นมาเป็นลูกภรรยาเอกจริงๆขึ้นมา นางก็จะมีทุกอย่างที่พึ่งพาได้ หากภายภาคหน้ามีวันหนึ่งวันใดที่เจ้าได้แต่งงานกับฉีเอ๋อร์ มีเหลิ่งชิงฮวนคนหนึ่งที่ค่อยกดหัวเจ้าอยู่ทั้งคน และตอนนี้เหลิ่งชิงหลางก็จะมีตำแหน่งเท่าเทียมเจ้าอีก เจ้าอยากพลิกสถานการณ์ขึ้นมาก็ยากแล้ว หากนางเป็นแค่ลูกอนุ ภูมิหลังธรรมดา ยังจะจัดการกับนางง่ายกว่า”

สำหรับคำสัญญาของเหลิ่งชิงหลางที่จิ่นอวี๋ให้คำมั่นไว้ ในใจก็ตงิดๆอยู่ แต่ก็อยากลองพูดเกลี้ยกล่อมออกไปดู

“หากเหลิ่งชิงหลางได้รับความเมตตาจากพระสนมฮุ่ยเฟยแล้ว ย่อมต้องรู้จักตอบแทนพระคุณ ในภายภาคหน้าจะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างสุดกำลังให้ท่านพระสนมเป็นแน่”

“นางกับเหลิ่งชิงฮวนเป็นถึงพี่น้องกัน แต่เพื่อบุรุษเพียงคนเดียวถึงกับสามารถกลายเป็นศัตรูกันได้ เจ้ายังจะคาดหวังให้นางซื่อสัตย์ต่อเจ้าอีกอย่างนั้นหรือ? เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึงกันอีกแล้ว ที่ข้าทำไปทั้งหมดก็เพื่อเจ้า”

“นั่นเพราะเหลิ่งชิงฮวนทำกิริยาน่าเกลียดจนเกินไปจริงๆ ก็แค่แม่หญิงที่เติบโตขึ้นมาในชนบท ไหนเลยจะได้รับการอบรมบ่มเพาะอย่างที่ลูกสาวภรรยาเอกพึงมี? เพราะทนมองความหยาบคายและความเย่อหยิ่งที่คิดว่าอยู่เหนือใครของนางไม่ได้ ไม่แปลกใจที่เหลิ่งชิงหลางจะไม่ยอม

ท่านไม่รู้อะไร เมื่อคืนท่านพี่ป่วยหนักขนาดนั้น นึกไม่ถึงว่านางจะปีนขึ้นเตียงท่านพี่ และแสดงความรักกันอย่างหวานชื่น อีกทั้งยังทำต่อหน้าคนนอกอย่างหม่อมฉันอีกเพคะ ทำตัวไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ยิ่งกว่านางโลมในหอโคมเขียวเสียอีก!”

“จริงหรือ?” ฮุ่ยเฟยรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “ในใต้หล้านี้ยังมีคนหน้าหนาไร้ยางอายเช่นนี้อยู่อีกหรือ?”

“พระสนมท่านไม่เชื่อคำพูดของหม่อมฉันหรือเพคะ? ท่านพี่สุขภาพร่างกายเป็นอย่างไร ไม่ต้องพูดถึงแค่โดนฝนนิดหน่อย ต่อให้แช่อยู่ในน้ำเย็นก็ไม่มีทางป่วยได้ ตอนนี้กลับบอกบางเช่นนี้ ใครจะไปรู้ว่าถูกเหลิ่งชิงฮวนก่อกวนทำอะไรหรือไม่? ร่างทั้งร่างมีแต่กลิ่นอายจิ้งจอก!”

พระสนมฮุ่ยเฟยเป็นคนหูเบา และก็เคยได้ยินข่าวลือและเสียงซุบซิบที่ไม่ดีเกี่ยวกับเหลิ่งชิงฮวนที่ลอยเข้าหูมาบ้าง ตอนนี้ยังมาได้ยินคำพูดที่ใส่ไฟเข้าไปอีก อดไม่ได้ที่จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

“มันไม่สมเหตุสมผลที่สุด!” ฮุ่ยเฟยตะคอกอย่างเย็นชา “ไม่มีใครคอยอบรมสั่งสอนถึงได้ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นนี้ คนของจวนอ๋องฉีถูกนางทำให้ขายขี้หน้าหมดสิ้นแล้ว ข้าจะต้องจัดการสักหน่อยแล้ว!”

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันกันเสร็จ คนในวังก็ถูกส่งมาแล้ว

เหลิ่งชิงฮวนกำลังปรุงยาอยู่ เป็นยาธรรมดาไม่ได้มีประโยชน์สำคัญอะไร ก็แค่แกล้งแสดงต่อหน้ามู่หรงฉีเท่านั้น

เพราะยาในกล่องอาหารของตัวเองใช้อย่างต่อเนื่องไม่มีวันหยุด ไม่ช้าก็เร็วอาจจะดึงดูดความสงสัยของมู่หรงฉีขึ้นมาได้ ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนห้องโถงด้านข้างให้กลายเป็นห้องปรุงยา มีกองสมุนไพรเอาไว้ทำยามากมาย ไม่มีอะไรทำก็มาทำสักสองกระป๋อง ทำยาจีนง่ายออกมา

เพราะกลัวว่าจะถูกมู่หรงฉีที่เป็นตัวพาหะ แพร่เชื้อไข้หวัดที่มีประสิทธิภาพอย่างมากแพร่เชื้อเข้าให้ นางจึงหยิบหน้ากากอนามัยหลายอันออกมา และแบ่งให้โตวโตวกับแม่หวังไปใช้ ปิดใบหน้าครึ่งหน้าเอาไว้อย่างแน่นหนา

สำหรับมู่หรงฉีแล้วรู้สึกรำคาญเล็กน้อย เพราะรู้สึกว่าเหมือนตัวเองถูกรังเกียจเสียแล้ว

พลิกหนังสือในมืออย่างงอนๆสองสามหน้า จากนั้นก็ขว้างทิ้ง และก็เอ่ยพูดหยอกเล่นขำๆอย่างจับผิด “กล่องอาหารของเจ้ากล่องนั้นทำให้ข้ารู้สึกอับอายขายขี้หน้ายิ่งนัก มีอย่างที่ไหนที่หมอถือกล่องอาหารไปเยี่ยมคนไข้ทุกวัน?”

เหลิ่งชิงฮวนไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา พูดเสียงทุ้มแต่ดังขึ้นมา “รังเกียจก็ไม่ต้องมาให้ข้ารักษาสิ”

มู่หรงฉีเอ่ยพูดหาเรื่องใส่ตัวเสียยังงั้น จึงสั่งให้รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดนำกล่องหนังสือที่วางจนเป็นฝุ่นกล่องนั้นมา และโยนไปให้เหลิ่งชิงฮวน

“เอาไปทิ้งก็น่าเสียดาย ยกให้เจ้าก็แล้วกัน”

เหลิ่งชิงฮวนยกเปลือกตาขึ้นสำรวจเล็กน้อย รู้สึกคุ้นตานิดหน่อย

“ท่านเป็นถึงนายพล ซื้อกล่องหนังสือมาทำอะไร? กองหนังสือในห้องแค่นี้ยังไม่พอให้ท่านเสแสร้งทำเป็นผู้มีความรู้อีกหรือ? อย่าได้คิดว่ามอบกล่องยาให้ข้า ข้าจะละทิ้งหลักการไป อีกสักพักหากห้องตำราจัดเก็บเรียบร้อยแล้ว ก็กลับไปเสีย อย่าได้หาข้ออ้างโน้นนี้มาอยู่ที่เรือนของข้าอีก”

เหลิ่งชิงฮวนเหลือบมองมู่หรงฉีที่กำลังพลิกหนังสือในมือดัง สวบๆทำท่าทางสูงส่งราวกับว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเอง

เหลิ่งชิงฮวนแสดงสีหน้าเศร้าสลดใจ “แม่นมท่านเข้าใจความหมายของข้าผิดไปแล้ว ข้าแค่อยากจะบอกว่า โรคที่ท่านอ๋องป่วยเป็นโรคที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลและติดต่อกันได้ง่ายมาก เมื่อวานข้ากับจิ่นอวี๋จวิ้นจู่แค่กินข้าวเป็นเพื่อนท่านอ๋องเท่านั้น พวกเราทั้งสองคน อ่อ ยังมีบ่าวในจวนอีก ล้วนติดเชื้อกันหมดแล้ว

วันนี้พอจิ่นอวี๋จวิ่นจู่ตื่นขึ้นมาก็มีไข้สูงไม่หยุดตั้งแต่เช้า จนกลับเข้าวังไปแล้ว ส่วนข้ายิ่งหนักกว่า เมื่อก่อนไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อน ตอนนี้กลับไข้ขึ้นสูง ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยตุ่มใสๆเต็มไปหมด ท่านดูคนรับใช้ในเรือนของข้าต่างปิดปากปิดจมูกกันหมด ไม่กล้าเข้าใกล้ข้าสักคน

หากท่านแม่นมอยากอยู่ต่อย่อมได้อยู่แล้ว แต่ทางที่ดีที่สุดช่วงนี้ควรอยู่ให้ห่างจากข้าไว้จะดีกว่า ทุกวันทั้งตอนช่วงเช้า กลางวัน และเย็นยังต้องกินซุปหวงเหลียวคนละถ้วยเพื่อป้องกันเอาไว้ ไม่เช่นนั้นอาจติดเชื้อขึ้นมาได้ หรือไม่ก็เป็นตุ่มๆเหมือนไข้ทรพิษลุกลามเต็มใบหน้าไม่มีใครบอกได้

เจ็บป่วยเป็นเรื่องเล็กน้อย ใบหน้าเสียโฉมนั้นเป็นเรื่องใหญ่ นางกำนัลในวังข้าเหมือนรู้มาว่ามีกฎเกณฑ์อะไรสักอย่างนะ? ที่ว่าใบหน้าเป็นสิ่งสำคัญใช่หรือไม่?”

นางพูดจาเรื่อยเปื่อยพยายามอย่างหนักเพื่อหลอกให้เชื่อ มู่หรงฉีมองสีหน้าของแม่นมเหลียงที่ถูกทำให้ตกตะลึงเป็นระลอกๆ จนทนมองต่อไปไม่ไหว กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหวจริง ๆ เลยทำเป็นแกล้งกระแอมไอเบา ๆ เพื่อปกปิดมุมปากที่ยกค้างเป็นตะคริว

ไม่ช่วยเหลือยังคิดสร้างความวุ่นวายอีกนะ อุดปากของท่านเอาไว้ไม่ได้จริงๆ

เหลิ่งชิงฮวนก้าวขึ้นไปข้างหน้า ทุบเข้าไปที่ด้านหลังตรงฝั่งที่หัวใจของเขาเต้นสองครั้ง ตุบๆ มู่หรงฉีไม่ทันได้ระวังต่อความรุนแรงอย่างกะทันหันของนาง เกือบจะกระอักเลือดออกมาจากปาก

“แคก ๆ ๆ”

“ท่านอ๋อง ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” เหลิ่งชิงฮวนแสดงสีหน้าทำเป็นห่วงและเอ่ยถาม “ทำไมถึงได้ไอหนักเช่นนี้ล่ะเพคะ?”

มู่หรงฉีหยุดไอลงอย่างอยากลำบาก และแกล้งถามด้วยท่าทีอ่อนแรง “ฮูหยินเจ้าว่าข้าควรทำเป็นสบายดีหรือว่าไม่สบายดีหรือ?”

เหลิ่งชิงฮวนแอบถลึงตาใส่ มู่หรงฉีถูกนางบังคับ จึงทำได้เพียงต้องเปลี่ยนคำพูดที่จะพูด “ดีขึ้นมากแล้ว ก็แค่แพร่เชื้อใส่ฮูหยินจนทำให้รู้สึกผิดน่ะ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา