ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 28

เหลิ่งชิงเฮ่อสูดหายใจลึก “ถึงว่าทำไมจินซื่อถึงได้ใจดีส่งเด็กรับใช้หมิงเย่ว์มาให้พี่ พี่ก็คิดว่าแค่ว่าในเมื่อเป็นคนที่จินซื่อส่งมาจึงไม่กล้าให้เขาแตะต้องอาหารการกิน ไม่คิดว่ายังจะมีโอกาสให้เขาลงมือได้”

“ดีที่ฟังคำของเจ้าให้ย้ายออกมาจากจวน ไม่เช่นนั้นพี่ก็คงตายอย่างไม่รู้สาเหตุ บัดนี้เขาตามพี่ออกมาจากจวน ทุกการกระทำของพี่ล้วนตกอยู่ในสายตาของพวกเขา แทนที่จะจัดการไม่สู้อยู่เฉยๆ พี่จะใช้กลยุทธ์ปิดฟ้าข้ามทะเลกับนาง”

เหลิ่งชิงฮวนส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “ข้าไม่เห็นด้วย แบบนี้มันอันตรายเกินไป”

“ยังมีซิงเมิ่งอยู่ไม่ใช่หรือ?”

“เขาเชื่อถือได้หรือไม่ ใครจะรู้?”

เหลิ่งชิงเฮ่อพูดไม่ออก

สองพี่น้องพูดจาราวกับไม่สนใจเสิ่นหลินเฟิงที่อยู่ข้างๆ

ความปลอดภัยรอบเมืองหลวง เขาเห็นการฟาดฟันกันในตระกูลแบบนี้มามากมาย ไม่ต้องให้ทั้งสองคนพูดก็เข้าใจความหมายได้ทันที

ตั้งแต่สมัยโบราณที่ลูกชายคนโตของตระกูลที่มีอำนาจจะมีชื่อเสียง ขอแค่จัดการเหลิ่งชิงเฮ่อได้ ลูกชายที่เกิดจากจินซื่อก็จะกลายเป็นผู้สืบทอดกิจการของจวนมหาเสนาบดีทันที

เขามองไปรอบๆ สุสานก็รู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย ตำแหน่งมหาเสนาบดีฝ่ายขวาอยู่ใต้คนเพียงผู้เดียว แต่อยู่เหนือผู้คนนับหมื่น แม้จะมีปัญญารอบรู้เป็นเสาเอกของรัฐแคว้นแต่ไม่คิดว่าภายในบ้านจะวุ่นวายเช่นนี้ ลูกชายคนโตโดนบีบบังคับจนกลายเป็นเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะฝีมือการรักษาของพี่สะใภ้ ต่อให้ไปยมโลกแล้วก็คงจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย

เมื่อได้ยินการโต้เถียงระหว่างทั้งสองคนเขาก็ยิ้มเล็กน้อย "หากต้องการรู้ว่าซิงเมิ่งจงรักภักดีหรือไม่นั้นไม่ยาก รอให้ข้าทดสอบดูย่อมได้"

เขาปล่อยให้สองพี่น้องคุยกัน ก่อนจะเดินไปหาซิงเมิ่ง บอกให้เขาตามไปยกของบนรถม้า

เหลิ่งชิงฮวนเห็นว่าเขาลากซิงเมิ่งไปที่รถม้า เลือกมุมที่หันหลังให้คนอื่นก่อนจะกระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง จากนั้นทั้งสองคนก็กลับมาพร้อมกับสิ่งของ เสิ่นหลินเฟิงปัดฝุ่นในมือออกก่อนจะกลับมาหาสองพี่น้อง

“เจ้าเด็กซิงเมิ่งนี่ดูท่าจะซื่อสัตย์ น่าเชื่อถือได้”

เหลิ่งชิงฮวนอดแปลกใจไม่ได้ “ท่านทดสอบอย่างไร?”

“ง่ายมาก แค่ข่มขู่และหลอกล่อด้วยผลประโยชน์ เขาไม่ยอมฟังคำสั่งข้า ไม่ยอมทำร้ายท่านพี่ชิงเฮ่อ เห็นได้ชัดว่าจงรักภักดี”

เหลิ่งชิงฮวนยังคงไม่วางใจ “เพราะว่าที่นี่ค่อนข้างห่างไกล อีกทั้งยังไม่มีอารักขา ยากที่จะป้องกันศัตรูซ่อนเร้น”

“เพราะว่ายากที่จะป้องกันศัตรูซ่อนเร้น ดังนั้นจึงต้องอยู่เฉยๆ ไม่ให้จินซื่อกลายเป็นหมาจนตรอกได้”

เสิ่นหลินเฟิงเอ่ยปาก “ข้าคิดว่าที่ท่านพี่ชิงเฮ่อพูดก็มีเหตุผล หากพี่สะใภ้ไม่วางใจ กลับไปข้าจะส่งทหารอารักขามาให้”

ที่จริงเหลิ่งชิงฮวนก็กังวลตั้งแต่แรก ดังนั้นเธอจึงแสร้งทำเป็นโกรธแทนที่จะเปิดโปงเรื่องพิษในหมึกทันที แต่เมื่อเห็นพี่ชายยืนกรานครั้งแล้วครั้งเล่าจึงยอม แต่ก็เกรงใจที่จะรบกวนเสิ่นหลินเฟิงจึงเอ่ยปฏิเสธ

เธอลดเสียงลงอีกครั้งและสอนพี่ชายให้รู้จักวิธีจำแนกพิษชนิดนี้ว่ามีกลิ่นอย่างไรและเล่ารายละเอียดทุกอย่างให้เขาฟังซ้ำๆ

เสิ่นหลินเฟิงวกกลับเข้าประเด็กอีกครั้ง “ขอถามพี่สะใภ้ เมื่อครู่ข้าลองใช้หมึกพวกนั้นดูแต่เข็มเงินกลับไม่เปลี่ยนสี ท่านสามารถแยกแยะได้เช่นไร”

“เข็มเงินทดสอบพิษใช้ได้แค่กับพิษจำพวกสารหนูเท่านั้น กำมะถันและซัลไฟด์จะมีปฏิกิริยากับเข็มเงินทำให้เข็มกลายเป็นสีดำ หากพิษไม่มีสารจำพวกนี้ก็ย่อมไม่เกิดปฏิกิริยาอะไร”

“อย่างเช่นพิษที่พี่ชายหม่อมฉันโดน เป็นพิษที่ออกฤทธิ์ช้าและสะสม เวลาผ่านไปนานก็อาจจะสับสนกับวัณโรคจนทำให้ตรวจหาได้ยาก”

“เช่นนั้นนอกเหนือจากวิธีเหล่านี้แล้วยังมีวิธีแยกแยะแบบอื่นอีกหรือไม่?” เสิ่นหลินเฟิงเอ่ยถามต่อ “อย่างเช่นกับคนตาย?”

พูดจบก็รู้สึกว่าคำพูดนั้นฟังดูแปลกๆ จึงรีบอธิบาย “ขออภัย ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงแค่นึกถึงคดีเมื่อไม่กี่วันก่อนจนถึงตอนนี้ยังไม่สามารถสรุปสาเหตุการตายได้อย่างชัดเจน ขุนนางผู้ชันสูตรเองก็มืดแปดด้าน”

เหลิ่งชิงฮวนยกยิ้ม เธอเคยลงเรียนในวิชาของสาขานิติเวชมาก่อนดังนั้นจึงคุ้นเคยกับศพเป็นอย่างดี “ยาพิษจำพวกนี้ไม่ได้ทำให้ตายจากการกินดังนั้นจึงตรวจไม่พบในกระเพาะอาหาร แต่สามารถตรวจสอบผ่านทางเลือดและโครงกระดูกได้”

วันนี้เสิ่นหลินเฟิงอารมณ์ถึงขั้นไม่กินข้าวเย็น เขาตรงไปที่ลานบ้านทันที หญิงชราเข้าไปรายงานแต่เหล่าไท่จวินยังไม่พักผ่อนจึงเรียกให้เขาเข้าไปด้านใน

เสิ่นหลินเฟิงทำความเคารพเสด็จย่าของตนก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ด้านหน้าเตียงของเหล่าไท่จวินด้วยท่าทางสง่างาม เหล่าไท่จวินเองก็พอใจในตัวหลานผู้สืบสกุลคนนี้

หลังจากสั่งให้คนรับใช้คนอื่นออกไปเหลือไว้เพียงหญิงชราคอยดู เหล่าไท่จวินก็เอ่ยปากอย่างไม่เร่งรีบ “ได้ยินว่าวันนี้เจ้าออกไปกับพระชายาอ๋องฉี ไปไหนกันมาหรือ? แล้วทำไมถึงเพิ่งกลับมาตอนนี้”

เสิ่นหลินเฟิงฉีกยิ้มพลางอธิบาย “วันนี้พี่สะใภ้บอกว่าจะลงไปทางตอนใต้ของเมืองเพื่อเยี่ยมเยียนพี่ชาย แต่รถลาลากของนางนั้นช้ามากเกรงว่าจะกลับมาค่ำ หลานจึงตั้งใจไปส่งนาง”

“รถลาลาก?” เหล่าไท่จวินแปลกใจ

“เสด็จย่าไม่รู้หรอกหรือ? หรือว่าพี่สะใภ้ไม่เคยพูดถึง ทุกครั้งที่นางมาส่งยาให้ท่านก็นั่งรถลาลากทรุดโทรมคันนั้น ไม่รู้ว่าท่านพี่คิดอะไรอยู่ ไม่กลัวจะเสียหน้าจวนฉีอ๋องหรืออย่างไร”

ผู้อาวุโสเฒ่าตะคอกเบาๆ "เจ้าฉีเอ๋อร์เหลวไหลเกินไปแล้ว นี่มันสร้างเรื่องวุ่นวายไม่ใช่หรือ? เจ้าเองก็ด้วย เราเกิดในตระกูลนายพลแม้จะไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้แต่เจ้าก็ควรจะระวังให้มาก อยากไปส่งพี่สะใภ้ก็ส่งคนขับรถม้าไปสักคน ทำไมต้องไปส่งด้วยตัวเองเล่า? หากถูกใครเห็นเข้าจะกลายเป็นขี้ปากเขาหนำซ้ำยังไม่ดีต่อพี่สะใภ้เจ้าด้วย"

เสิ่นหลินเฟิงก้มหน้า “หลานจะจำไว้ คราวหลังจะไม่สะเพร่าเช่นนี้แล้ว อันที่จริงวันนี้หลานได้ยินเด็กรับใช้ของพี่สะใภ้พูด ในใจรู้สึกผิดจึงอยากชดเชยให้นาง”

“เจ้ารู้สึกผิดเรื่องใด?”

“หลายวันก่อนหลานออกไปล่าสัตว์ ระหว่างทางกลับก็เจอพี่สะใภ้กำลังซื้อพืชผักจึงนำเนื้อที่ล่ามาได้มอบให้นาง แต่ใครเล่าจะรู้ว่าจะกลายเป็นการสร้างปัญหาให้นาง วันนี้สาวรับใช้ของนางเห็นหลานจึงเข้ามาบอกว่าครั้งหน้าให้หลานไปอธิบายกับท่านพี่ให้ชัดเจน”

“หลานถึงได้รู้ว่าชายารองในจวนของท่านพี่ปั้นน้ำเป็นตัว ใส่ร้ายว่าพี่สะใภ้ฆ่ากระต่ายที่นางเลี้ยงไว้ ไม่รู้ว่านางไปยุยงอะไรท่านพี่จนโมโหทุบตีพี่สะใภ้จนบาดเจ็บ”

“ไร้เหตุผล!” เหล่าไท่จวินเอ่ยด้วยความโมโห “ทำไมฉีเอ๋อร์ถึงได้เลอะเลือนจนแยกตาปลากับไข่มุกไม่ออก! ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ มีเพียงลูกสาวที่ถูกเลี้ยงโดยจินซื่อแห่งจวนมหาเสนาบดีเท่านั้นที่จะใช้วิธีการอันต่ำต้อยเช่นนี้”

“ไม่เพียงแค่นั้น” เสิ่นหลินเฟิงพูดอย่างขุ่นเคือง “เสด็จย่ารู้หรือไม่ว่าทำไมพี่สะใภ้ถึงต้องไปยังทางตอนใต้เพื่อเยี่ยมพี่ชายของนาง”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา