ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 516

“เสด็จพ่อ โปรดฟังลูกอธิบายก่อน ภัยพิบัติครั้งนี้ที่เมืองอวี้โจวไม่ใช่ภัยพิบัติทางธรรมชาติจริง ๆ แต่เป็นภัยที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้น และเพื่อที่จะกำจัดแมลงที่ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บให้หมดสิ้นชิงฮวนจึงได้กลับไปก่อน...”

“ยังจะฟังเขาบ่นพร่ำเพื่ออะไรอีก? ยังไม่รีบคุมตัวเขาออกไปอีก? ภายในสามวันถ้าไม่มีใครสามารถเป็นพยานให้เจ้าได้ คำพูดที่ไร้มูลของเจ้า ข้าคงทำได้เพียงลงโทษเจ้าอย่างหนักเพื่อเป็นคำอธิบายให้กับทางหนานจ้าว”

ฮ่องเต้เฒ่าผู้นี้ไม่ฟังคำอธิบายใด ๆ และโบกพระหัตถ์ด้วยความโกรธ ไม่แม้แต่จะให้โอกาสได้พูด

ทหารรักษาพระองค์เองก็ไม่กล้าขัดพระราชโองการ จึงเข้าไปจับตัวมู่หรงฉีมัดไพล่หลังและรั้งคอเอาไว้ มู่หรงฉีก็ไม่กล้าต่อต้านท่านผู้เฒ่า ทำตัวเป็นเด็กดีย่อมให้ถูกจับแต่โดยดี

ขุนนางฝ่ายบู๊และบุ่นมองหน้ากันไปมา ข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า ไม่รู้ว่าควรจะขอร้องอย่างไรดี

ก็แค่เมืองเล็ก ๆ อย่างหนานจ้าว เมื่อก่อนฮ่องเต้เฒ่าไม่เคยเห็นอยู่ในสายตามาก่อน ตอนนี้พวกเขายอมจำนนมาแล้ว เหตุใดพระองค์จะต้องให้ความสำคัญกับพวกเขาด้วย? ตีก็ตีไปแล้ว ชนะจนเขายอมจำนนมาแล้วยังจะมีอะไรให้ต้องไปอธิบายอีก? หากไม่ยอมแต่โดยดีก็แค่บุกโจมตีต่อไปก็แต่นั้น ถึงอย่างไรลูกชายของท่านก็มีความสามารถทำได้อยู่แล้ว

ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่? กำลังเรียนแบบเล่าปี่โยนลูกทิ้งงั้นหรือ?

ฮ่องเต้เฒ่ายังพูดเสริมมาอีกประโยคด้วยความโกรธอีกว่า “ข้าจะบ้าตายอยู่แล้ว ทำไมข้าถึงให้กำเนิดลูกชายที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้ออกมาด้วย”

มู่หรงฉีถูกทหารรักษาพระองค์ผลักตรงไปที่อู่เหมิน มัดไพล่หลังและรั้งคอผูกติดกับเสาธง

เขาช่างน่าสงสารจริง ๆ ทั้งซื่อสัตย์และจงรักภักดี ยอมสละชีวิตเพื่อโค่นล้มหนานจ้าว และเดินทางหามรุ่งหามค่ำไม่หลับไม่นอนกลับมา แต่ไม่เพียงจะไม่ได้เจอลูกเมียตัวเองแล้ว แต่ยังถูกพ่อแท้ ๆ ของตัวเองมัดไพล่หลังและรั้งคอมัดไว้กับเสาธงอีกด้วย

เห็นชัดว่า ๆ ท่านพ่อจงใจหาเรื่องทั้ง ๆ ที่ไม่มีเรื่องให้หา ทำเป็นใช้คำพูดที่สวยหรูมาอ้างหากอยากจะลงโทษตามอำเภอใจจริง ๆ แม้ว่าไม่มีเหตุผลก็ทำได้เสมอ

หนังสือยอมจำนนก็คือหนังสือยอมจำนน คนของหนานจ้าวไม่มีทางกล้าเขียนให้ซักไซ้เอาความสักคำด้วยซ้ำไป

คนอย่างเล่าปี่โยนลูกนั้นก็เพื่อซื้อใจคน แต่เขาต้องการสร้างสถานการณ์ขู่ขวัญตบตาให้ใครดูกัน?

เหล่าขุนนางกลับออกมาจากการว่าราชการ ตอนที่เดินผ่านประตูอู่ทุกคนต่างก็ก้มหน้าก้มตา มือทั้งสองข้างกุมมือตัวเองเอาไว้ เดินผ่านไปเงียบ ๆ จากนั้นก็ลดเสียงกระซิบกระซาบกัน ถกเถียงถึงราชโองการของฮ่องเต้

อย่างน้อยก็มีหลานชายตกลงมาจากท้องฟ้ามาให้ ก็ควรได้รับความโปรดปรานอยู่ไม่น้อย อีกทั้งพ่อของหลานในตอนนี้ก็เป็นบุคคลสำคัญที่มีผลกระทบต่อสังคม จุดเปลี่ยนที่มหัศจรรย์นี้อาจทำให้ทุกคนต้องสับสน

ก่อนหน้านี้มู่หรงฉีเพิ่งตีศึกเคลื่อนทัพกลับมาพร้อมด้วยชัยชนะ ยิ้มแย้มหน้าบานอยู่เลย แต่วินาทีต่อมากลับต้องหน้าเสียถูกคนอื่นมองว่าเป็นคนบื้อ

เขาก้มหน้าลงและปิดเปลือกตาเอาไว้ ทำเป็นเหมือนมองไม่เห็น บวกกับว่ารู้สึกเหนื่อยล้ามากจริง ๆ อีกทั้งยังมาโดนแดดเผาใส่ จึงรู้สึกง่วงนอนเล็กน้อย

อุตส่าห์รอให้พวกขุนนางทั้งหลายแยกย้ายจากออกไปได้ ก็มาเห็นว่าฮ่องเต้เฒ่าอยู่ห่างออกไปไม่ไกล และกำลังเอามือไพล่หลังเดินเข้ามาอย่างสบายใจ แน่นอนว่าฮ่องเต้ออกจากประตูมาก็ต้องมีผู้ติดตามมาเป็นขบวน ต้องดูยิ่งใหญ่อลังการอยู่แล้ว

พระองค์เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ามู่หรงฉีและหยุดก้าวเดิน พร้อมกับยกเปลือกตาขึ้นและไปมองไปที่มู่หรงฉีที่ถูกมัดไพล่หลังและรั้งคอเอาไว้

“ดูเจ้าในตอนนี้สิ มีชีวิตเหมือนกับคนที่ตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ไม่มีจิตวิญญาณเลยสักนิด”

มู่หรงฉีต้องมาเผชิญหน้ากับการเยาะเย้ยของพระองค์ รู้สึกโกรธมากแต่ไม่กล้าพูดอะไร ตัวเองขี่บนหลังม้าทรหดอดทนทั้งวันทั้งคืน บวกกับทั้งหิวและกระหายน้ำ ยังจะมีเรี่ยวแรงที่ไหนอีก?

“โปรดอภัยให้ลูกที่ไม่สามารถถวายความเคารพต่อเสด็จพ่อได้”

“ตามสบายได้เลย”

พระองค์โบกปัด และเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ที่สูงตระหง่านอยู่เหนือหัว และเปลี่ยนมายืนอยู่ใต้เงาของมู่หรงฉี เลือกสถานที่ที่แดดส่องมาไม่ถึง “วันนี้พ่อยุ่งนิดหน่อย จึงไม่ค่อยมีเวลาเท่าไร แค่เอาเวลาทานอาหารในตอนเช้ามาแวะคุยกับเจ้าสองสามประโยค”

สัญญาณแบบนี้ ขันทีที่อยู่ข้างหลังจึงจัดเตรียมที่นั่งให้ในทันที และยื่นตะเกียบถวายให้ พร้อมกับหยิบกล่องอาหารสีแดงขึ้นมา นำอาหารด้านในออกมาจัดวางทีละจานและวางเอาไว้ตรงหน้ามู่หรงฉี

กลิ่นหอม ๆ ของโจ๊กหมูสับและติ่มซำค่อย ๆ ลอยเข้าจมูกมู่หรงฉี ราวกับมีตะขอมาเกี่ยวเอาไว้ยังไงยังงั้น

มู่หรงฉีรู้สึกซาบซึ้งอย่างมาก แม้ว่าเสด็จพ่อจะไม่ค่อยมีเหตุผล จับตัวเองมัดโดยไม่ฟังคำอธิบายอะไร แต่ในใจลึก ๆ ก็ยังเป็นห่วงตัวเองอยู่ คิดว่าตัวเองจะหิว จึงส่งข้าวมาให้ตนเอง

ให้ข้าไปเข้าข้างคนอื่นและร่วมมือกับท่านคิดแผนการจัดการภรรยาตัวเองอย่างงั้นหรือ? มู่หรงฉีไม่แม้จะคิดก็ส่ายหัวปฏิเสธอย่างไม่ลังเล

“ไม่ต้องหรอกพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่ต้อง?” พอพระองค์ได้ฟังก็ร้อนใจขึ้นมา “ถ้าเจ้าไม่ฟังคำข้า ภายภาคหน้าเหลิ่งชิงฮวนก็จะอวดเก่ง จนเจ้าต้องเชื่อฟังคำพูดของนางไปชั่วชีวิต เป็นผู้ชายกลัวเมีย”

“เรื่องเศร้าระหว่างพวกเราในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ก็เกิดจากการที่ข้าไม่เชื่อฟังคำพูดของชิงฮวน เป็นอย่างที่เสด็จพ่อตรัสไว้ไม่มีผิด ลูกคนนี้โง่เกินไป ทึ่มเกินไป หากมีชิงฮวนอยู่ข้างกายลูกเหมือนเป็นเงา หากต้องเชื่อฟังคำพูดนาง ลูกรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ไม่ดี

นอกจากนี้ ลูกรู้สึกว่าตัวลูกติดค้างนางมากเกินไป ในภายภาคหน้าไม่เพียงจะรักและเอ็นดูนาง ตามใจนาง และยังจะเข้าใจนางให้มาก ๆ อีกด้วย ทำไมต้องใช้แผนการทรมานกายอะไรนี่ ให้นางต้องเจ็บปวดและตัวลูกเองต้องเจ็บตัวด้วยขอรับ? ระหว่างสามีภรรยาจะต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันไปทำไมกัน?”

เขาพูดโต้กลับจนทำให้ฮ่องเต้เฒ่าถึงกลับพูดอะไรไม่ออก

“เจ้าไม่เชื่อฟังคำพูดของพ่อแล้วงั้นหรือ? พ่อทำเพราะหวังดีกับเจ้า!”

ไม่ใช่ไม่เชื่อฟัง แต่ท่านจะสนใจมากเกินไปหรือเปล่า พวกเราสองคนจะรักกันดีหรือไม่ ทำไมท่านต้องเข้ามาก้าวกายด้วยเล่า?

มู่หรงฉีได้แต่คิดไม่กล้าพูดออกมา “ขอเสด็จพ่ออย่าทรงกริ้วไปเลยขอรับ ลูกแค่รู้สึกว่า ในฐานะที่เป็นสามีภรรยากัน ต้องรักและเชื่อใจกันและกัน ชิงฮวนถือว่าลูกเป็นสามีของนาง ลูกย่อมต้องยกนางเป็นดังแก้วตาดวงใจ”

ฮ่องเต้พึมพำมาตั้งครึ่งค่อนวัน ถึงกลับต้องสะกดอารมณ์และพูดออกมาหนึ่งประโยค “ดูเจ้าตอนนี้สิ ไม่ได้เรื่อง ช่างไร้ประโยชน์จริง ๆ พอแล้ว พอกันที ข้าหมดหนทางจะช่วยแล้ว”

จากนั้นก็กระแทกตะเกียบลงด้วยความโกรธ “ไม่กินแล้ว อึดอัดใจเหลือเกิน!”

จากนั้นก็หันหลังเดินกลับไปสองก้าว พอหันหน้ากลับมามอง ก็เห็นมู่หรงฉีเหมือนจะยังไม่รู้สึกสำนึกผิดแม้แต่น้อย แต่กลับเอาแต่จ้องมองติ่มซำที่อยู่ใต้เท้าตัวเองตาไม่กะพริบด้วยสีหน้าตะกละอยากจะกิน

ฮ่องเต้อารมณ์เสียอยู่แล้วจึงรีบสั่งขันทีในทันที “มัวแต่อ้ำอึ้งอะไรอยู่ละ? รีบเก็บไปซะ จะเหลือไว้ถวายเซ่นไหว้เขาหรือไง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา