ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 515

หลายคนในวังหลวงต่างบอกว่าอวิ๋นเช่อคนนี้เป็นเด็กที่ฉลาดเฉียบแหลมจริง ๆ แต่ว่าเรื่องที่บอกว่าเป็นเด็กซุกซนชอบก่อเรื่องก็เป็นความจริงเช่นกัน เขาไม่รู้จักเกรงกลัวฟ้าดินสักนิด ทำเอาคนในวังหลวงทั้งหลายถูกเขาปั่นป่วนจนอลหม่านวุ่นวายไปหมด พระสนมในพระราชวังทั้งหลายเมื่อเห็นเขาต่างพากันเดินอ้อมเขาไป

ฮองเฮาเอ่ยพูดอย่างอ้อมค้อมว่า “เด็กคนนี้น่าจะมีคนที่ทำให้เกรงกลัวสักคน”

ฮ่องเต้ไม่เห็นด้วยอย่างที่ว่า เมื่อก่อนตัวเองเข้มงวดจนเกินไป จึงสั่งสอนลูกชายให้อยู่แต่ในกรอบไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางและปฏิบัติตามกฎระเบียบจนเคร่งครัดเกิน นิสัยที่มีความซุกซนขี้เล่นเมื่อแต่ก่อนก็ไม่หลงเหลือแม้แต่น้อย

เขาโชคดีมากที่หลานชายตัวน้อยของพระองค์ไม่ได้เหมือนพ่อของเขา พ่อของเขาให้ความสำคัญกับความรู้สึกมากเกินไป จึงเหมือนถูกผูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้ สิ่งที่ทำให้พระองค์รู้สึกชื่นชมก็คือความยืนหยัดอย่างแน่วแน่และความฮึกเหิมในตัวของเสี่ยวอวิ๋นเช่อ ตลอดเวลาทำตัวเหมือนเป็นลูกกระทิงตัวหนึ่งอย่างไงอย่างงั้น ขอเพียงแค่ขัดเกลาเล็กน้อย เด็กน้อยเช่นนี้ก็จะมีอนาคตที่ก้าวไกล

อย่างไรก็ตามพระองค์ในฐานะที่เป็นปู่ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็รู้สึกว่าเสี่ยวอวิ๋นเช่อดีไปทุกอย่าง ดูแล้วสบายตา และยิ่งไปกว่านั้นเสี่ยวอวิ๋นเช่อยังรู้จักเอาอกเอาใจเขาด้วย

หลานชายคนนี้เขาไม่มีทางยอมปล่อยมือไปหรอก

แต่จะทำอย่างไรดี? ยัยหนู่เหลิ่งชิงฮวนผู้นั้นไม่ใช่คนที่จะต่อกรด้วยง่าย ๆ ในช่วงห้าปีที่ห่างหายไป ยิ่งหัวแข็งดื้อรั้น เต็มไปด้วยความป่าเถื่อน

ข้าผู้นี้คือใครกัน เกิดมาเป็นถึงราชาปกครองทั่วใต้หล้า เมื่อลองคิดพิจารณาดูแล้ว แม้ว่าเหลิ่งชิงฮวนจะเป็นเหมือนเสือชีตาร์ แต่ก็ต้องฝึกฝนให้ยอมจำนนปฏิบัติตาม ภายภาคหน้าจะได้ใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้นควรจะลงมืออย่างไรดี?

ตอนที่ฮ่องเต้กำลังกังวลใจอยู่นั้น ขุนนางอาวุโสด้านล่างต่างพากันส่ายหัวและบ่นพึมพำอยู่ครึ่งค่อนวัน แต่พระองค์ไม่ได้ฟังแม้แต่คำเดียว

จนกระทั่งผู้ติดตามข้างกายกระซิบเตือนเบา ๆ ที่ข้างหูของพระองค์ “ฝ่าบาท? ฝ่าบาท?”

ฮ่องเต้ถึงทรงยืดพระวรกายให้ตรง กระแอมไอเบา ๆ และถามไถ่เสนาบดีเหลิ่ง “เหลิ่งอ้ายชิง เรื่องนี้เจ้าคิดอย่างไร?”

เสนาบดีเหลิ่งก็ไม่ได้มีสมาธิที่จะฟัง เอาแต่คิดถึงเสี่ยวอวิ๋นเช่อกับเหลิ่งชิงฮวน อยู่ ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสถามขึ้นมากะทันหัน จึงรีบดึงสติกลับมา “กระหม่อมคิดว่า สิ่งที่พูดมามีเหตุผล”

ฮ่องเต้ต้องการที่จะลวงคำพูดจากปากเขา อยากรู้ว่าเมื่อครู่นี้ขุนนางทั้งหลายพูดกันจอแจว่าอะไรบ้าง เสนาบดีเหลิ่งพูดส่งกลับมามีเพียงประโยคเดียว

ฮ่องเต้โบกมือพัลวัน “ถ้าเช่นนั้นก็เอาตามคำพูดของพวกท่านทั้งหลายได้เลย”

ทันใดนั้นก็มีขุนนางคนหนึ่งออกจากแถวมาแสดงความคิดเห็นคัดค้านทันที “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าไม่เหมาะสม ถึงแม้ครั้งนี้องค์รัชทายาทเสิ่นจะฝ่าฝืนพระราชโองการออกจากอวี้โจวไปก็จริง แต่ก็เพราะมีเหตุผลอื่น นั้นก็คือเพื่อต้องการไปตามสืบแผนการชั่วร้ายของหนานจ้าว มีคำกล่าวไว้ว่าหากปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที้อันห่างไกลและเกิดเรื่องเร่งด่วนสามารถลงมือทำได้โดยไม่ต้องรอคำสั่งกษัตริย์ ดังนั้นไม่อาจตัดสินโทษเขาเพียงเพราะละทิ้งในหน้าที่ที่สั่งได้”

ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นจึงเข้าใจทันทีว่า คนที่กล้าออกมาพูดก่อนหน้านี้ก็คือออกมากล่าวหาเสิ่นหลินเฟิง ว่าเขาติดตามเหลิ่งชิงฮวนไปยังหนานจ้าว โดยไม่คำนึงถึงภาระหน้าที่ในการบรรเทาภัยพิบัติของตัวเอง ปล่อยเรื่องยุ่ง ๆ ทั้งหลายให้ขุนนางคนอื่นจัดการ

ตัวเองรู้สึกขัดตาไม่ชอบเสิ่นหลินเฟิง หรือว่ามันชัดเจนขนาดนั้นเลยหรือ? มากจนขุนนางในท้องพระโรงทำอะไรต้องค่อยมองดูอารมณ์ของตัวเองและยังแอบใช้มีดแทงข้างหลังเสิ่นหลินเฟิง?

หรือว่าคนพวกนี้จะไม่เข้าใจหลักความจริงที่ว่า ตีเพราะเป็นห่วง ด่าก็เพราะรัก ทั้งห่วงทั้งรักจึงหยอกเล่นหน่อยไม่ได้หรือ?”

ถึงแม้ตัวเองไม่ได้ทำดีกับเสิ่นหลินเฟิงนัก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าตัวเองจะไม่ชื่นชมเขา

ลูกสาวของตัวเองกำลังรอที่จะแต่งงานกับเขาอยู่นะ

ดังนั้นคำที่เอ่ยทูลมาอย่างประจบของคนผู้นี้จึงประจวบเหมาะกับความตั้งใจของฮ่องเต้พอดี

“ข้าก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดมาเป็นความคิดที่เฉียบแหลมยิ่งนัก ดังนั้นในภายภาคหน้าหากมีการบรรเทาภัยพิบัติและก่อความวุ่นวายขึ้นอีก อ้ายชิงท่านนี้ควรจะออกหน้าทำในสิ่งที่ควรกระทำเช่นนี้อีก เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับทุกคนดูเอาไว้ ลองมาคิด ๆ ดูแล้ว ดูเหมือนว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้มีโรคกาฬโรคออกอาละวาดในพื้นที่ปินโจว อ้ายชิงท่านนี้ ข้าจะออกราชโองการแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้ตรวจการ ให้เดินทางไปที่ปินโจวเพื่อควบคุมสถานการณ์โรคระบาดตั้งแต่วันนี้”

เมื่อสักครู่นี้พวกขุนนางเพิ่งจะได้รับการอนุญาตจากฮ่องเต้ และยังรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจอยู่เลย ไม่คิดว่าฮ่องเต้จะเปลี่ยนคำพูดกะทันหัน มามอบหมายงานหนักเช่นนี้ให้กับตัวเอง เป็นการยกหินทุบเท้าตัวเองเสียจริง ๆ เขาได้แต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดขอบคุณและรับพระราชโองการ

เพิ่งจะรับพระราชโองการเสร็จ ก็มีมหาดเล็กที่เฝ้าอยู่ด้านนอกท้องพระโรงเข้ามาทูลรายงาน “ทูลฝ่าบาท ท่านอ๋องฉีเคลื่อนทัพกลับมาเมืองหลวงพร้อมด้วยชัยชนะแล้วและตอนนี้กำลังรออยู่นอกห้องพระโรงพ่ะย่ะค่ะ”

เร็วขนาดนี้เลยรึ? อยากกลับมาบ้านไวขนาดนั้นเลยหรือเร็วเหมือนกับลมกรดเชียว ลูกชายของตัวเองคนนี้ไม่ไหวเลยจริงๆ

“ถ้าเช่นนั้นชิงฮวนล่ะ? ทำไมนางไม่ได้กลับมาพร้อมกับเจ้าด้วยเล่า?”

“ทูลเสด็จพ่อ เนื่องจากชิงฮวนยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องไปสะสาง จึงกลับมายังฉางอันก่อนตั้งแต่ตอนที่อยู่หนานจ้าวแล้ว ”

พระองค์ถลึงตาขึ้น “นั่นก็หมายความว่า เจ้าไม่ได้พาตัวชิงฮวนกลับมาด้วยงั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นเจ้ามัวทำอะไรอยู่ล่ะ? ระดมกองกำลังทหารมากมายไปที่หนานจ้าว แต่กลับมามือเปล่าอย่างนั้นนะหรือ ศักดิ์ศรีของพวกเราชาวฉางอันถูกเจ้าทำให้อับอายจนหมดสิ้นแล้ว”

มู่หรงฉีเข้ามาอย่างดีใจ แต่สุดท้ายกลับถูกฮ่องเต้ตำหนิจนเละ รู้สึกมึนงงไปชั่วขณะทันที ข้ายังพูดไม่ทันพูดจบเลย ท่านจะรีบร้อนไปไหน?

“เสด็จพ่อทรงเย็นพระทัยก่อน ท่านฟังลูกอธิบายก่อนพ่ะย่ะค่ะ ที่ชิงฮวนถูกจับไปเป็นเชลยที่หนานจ้าว อันที่จริงเป็นการวางแผนซ้อนแผน เพื่อต้องการขโมยของจากคนในหนานจ้าว...”

“มีอะไรให้ต้องอธิบายอีก? ไม่ได้เรื่องก็คือไม่ได้เรื่อง ตอนนี้ฮ่องเต้หนานจ้าวเขากำลังเรียกร้องความรับผิดชอบ แต่ชิงฮวนกลับหลบเลี่ยงไม่ออกมาเช่นนี้ เจ้าพูดมาสิว่าจะให้ข้าตอบกลับไปอย่างไร?”

ฮ่องเต้พูดขัดจังหวะด้วยความโกรธ “อีกอย่าง เจ้ายังไม่ได้รับราชโองการจากข้าก็กล้าส่งทหารไปโดยพลการเช่นนี้ ราวกับไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา ใครก็ได้มาจับตัวเจ้าลูกเนรคุณคนนี้แล้วเอาไปผูกไว้ที่เสาธงอู่เหมิน”

เรื่องนี้...ดูจะไม่เหมือนกับที่คิดเอาไว้สักนิด ฮ่องเต้ผู้นี้กำลังเล่นลูกไม้ไหนกันแน่

ตอนแรกไม่ใช่ท่านหรอกหรือที่บอกว่ามีทหารม้าห้าหมื่นคนดูน้อยเกินไป ยังส่งกองทัพมาเพิ่มให้อีกหนึ่งแสนนายไม่ใช่หรอกหรือ?

ยิ่งไปกว่านั้นท่านอ๋องฉีผู้นี้รบชนะศึกมา สามารถเอาหนังสือยอมจำนนของหนานจ้าวมาให้ได้ นี่ก็ถือว่าได้สร้างผลงานแล้วอย่างหนึ่ง ทำไมถึงถูกทำโทษเสียได้ล่ะ?

มู่หรงฉียิ่งมึนงงเข้าไปใหญ่ ไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดตรงไหนกันแน่

เสด็จพ่อของตัวเองกำลังโกรธที่ตนเองไม่สามารถแย่งชิงภรรยากลับมา? หรือว่ากำลังโกรธที่ตนเองไปชิงตัวภรรยากลับมาโดยพลการกันแน่?

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา