ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 855

ณ วังเยี่ยนชิ่ง ค่ำคืนที่แสนยาวนาน เทียนสีแดงถูกจุดขึ้นในวัง

พระสนมฮุ่ยเฟยยังคงไม่รู้ข่าวว่ามู่หรงฉีปลอดภัยดี

นับตั้งแต่วันที่ ศพของมู่หรงฉี ถูกส่งกลับมาที่เมืองหลวง นางก็ไม่หยุดที่จะสร้างปัญหาเลยสักวัน

ได้ยินมาว่าพระสนมซูเฟยถูกพระสนมหลินเฟยตรวจสอบเจอเรื่องที่ส่งจดหมายใบไม้ ตอนนี้พระสนมซูเฟยจึงใช้ชีวิตไม่ค่อยดีนัก

แม้ว่าท้ายที่สุดจะยังไม่ถึงขั้นต้องฉีกหน้ากัน แต่พระสนมหลินเฟยยังถือว่ามีความยำเกรงไว้หน้านางสนมคนอื่น ๆในวังหลวงอยู่บ้าง แต่วิธีการของพระสนมหลินเฟยที่ทำกับพระชายาเฮ่านั้น วันนั้นพระสนมฮุ่ยเฟยก็ได้เห็นกับตาแล้วในคุกหลวง

พระชายาเฮ่ามาที่วังหลวงอยู่ครั้งหนึ่ง ได้ยินว่าหลังจากที่นางจากออกไป พระสนมซูเฟยก็ล้มป่วยลง แขนขามีอาการปวดและเกร็งอย่างรุนแรง ช่วงที่เกิดอาการ แขนขาจะชักกระตุกขดตัวผิดรูป และเกิดภาวะผิวหนังบนใบหน้ามีสีแดงช้ำเป็นเปื้อนผิดปกติ

พระสนมหลินเฟยส่งหมอหลวงไปวินิจฉัยโรค หมอหลวงยืนกรานว่าพระสนมซูเฟยประชวรเป็นโรคเรื้อน

การวินิจฉัยในครั้งนี้ทำให้ทุกคนตกใจมาก พากันรังเกียจและมองอย่างดูถูกเหยียดหยาม พร้อมกับปลีกตัวออกห่างด้วยความกลัว ถึงขนาดที่ว่าไม่ต้องให้พระสนมหลินเฟยพูดอะไร ทุกคนก็พากันร่วมมือกันทำเหมือนเห็นคนล้มและรุมกระทืบซ้ำก็ไม่ปาน มีการขอร้องให้นำตัวพระสนมซูเฟยไปขังไว้ในตำหนักเย็นหรือไม่ก็ขับไล่ออกจากวังหลวงไป

ตอนนี่พระสนมหลินเฟยเป็นคนเดียวที่มีอำนาจมากที่สุดในวังหลวง นางย่อมไม่มีทางปล่อยพระสนมซูเฟยออกจากเมืองหลวงไปและทิ้งปัญหาเอาไว้แน่ เรื่องนี้นางจึงทำเป็นแสดงท่าทีมีเมตตากรุณาอย่างมากออกมาโดยบอกว่าทุกคนล้วนเคยเป็นพี่น้องกันมาก่อน ขอให้นำตัวนางขังเอาไว้ชั่วคราวพอ รอให้ตาเฒ่าฮ่องเต้ฟื้นขึ้นมาแล้วค่อยจัดการจะดีกว่า

ดังนั้นพระสนมซูเฟยจึงถูกขังอยู่ตามลำพังคนเดียวไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ไม่ต่างอะไรจากการถูกขังไว้ในตำหนักเย็นเลย

นอกจากนี้อาการป่วยของนางก็กำเริบตลอดเวลาและเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่

พระสนมฮุ่ยเฟยไม่สามารถก้าวออกจากวังเยี่ยนชิ่งได้ ย่อมไม่รู้ข่าวคราวภายนอกว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องนี้เป็นนางกำนัลและแม่นมที่ค่อยรับผิดชอบเฝ่าจับตาดูวังเยี่ยนชิ่งพูดให้นางฟังโดยจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตามแต่

พระสนมฮุ่ยเฟยได้ยินก็แอบอกสั่นขวัญแขวนไม่น้อย

นางรู้ว่ากรณีของพระสนมหลินเฟยเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู กำลังจะหาวิธีต่าง ๆ นานาเพื่อเตือนตัวเองให้อยู่นิ่ง ๆ ไม่เช่นนั้นก็จะมีจุดจบสภาพเดียวกับพระสนมซูเฟย

พระสนมฮุ่ยเฟยรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ตัวเองไม่ควรเสี่ยงตายมาหาตาเฒ่าฮ่องเต้เลย

ตาเฒ่าฮ่องเต้ก็สลบไม่ได้สติอยู่ตลอดเวลา นางลองดูอย่างละเอียดแล้ว สภาพของตาเฒ่าฮ่องเต้แทบจะไม่เป็นอะไรเลยราวกับว่ากำลังนอนหลับยังไงยังงั้น บางครั้งยังนอนกรนเป็นครั้งคราวอีกด้วย หมอหลวงเขียนใบสั่งยาให้ตาเฒ่าฮ่องเต้ล้วนทำเป็นแบบขอไปที เป็นเพียงการต้มยาบำรุงเล็ก ๆ น้อย ๆ เสริมสารอาหารให้อย่างพวกโสมและเห็นหลินจือที่ทำให้ตาเฒ่าฮ่องเต้ต่อลมหายใจอยู่ต่อได้เท่านั้น

ตราราชลัญจกรหยก พระสนมหลินเฟยยังคงหาไม่เจอ พระสนมฮุ่ยเฟยมองดูคนของพระสนมหลินเฟยออกค้นหาไปทั่ววังเยี่ยนชิ่ง แม้แต่ที่นอนมังกรของฮ่องเต้ก็คลำหาอย่างละเอียดแล้ว

ขอเพียงตราราชลัญจกรหยกยังหาไม่เจอหนึ่งวัน ตาเฒ่าฮ่องเต้ก็จะปลอดภัยไปหนึ่งวัน พระสนมหลินเฟยคงยังไม่เอาชีวิตพระองค์อย่างแน่นอน

แต่ว่าชีวิตน้อย ๆ ของตัวเองจะเป็นยังไงก็ไม่สามารถบอกได้ แต่ว่ามันก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น

นางต้องคิดหาทางออกมาจากวังหลวงให้ได้และพยายามคิดหาทุกวิธีติดต่อกับชิงฮวน นางจึงเอะอะโวยวายไม่หยุดไม่หย่อนทุก ๆ วัน ทุก ๆ คืนร่ำร้องเพื่อขอไปพบหน้าลูกชายเป็นครั้งสุดท้าย และต้องการจะส่งลูกชายเป็นครั้งสุดท้าย

ตอนที่พระสนมฮุ่ยเฟยก่อความวุ่นวายก็ร้องไห้จนสะเทือนฟ้าสะเทือนแผ่นดิน แทบขาดใจตายขึ้นมาจริง ๆ และร้องไม่หยุดไม่หย่อน พบเจอใครก็กระชากแขนเสื้อไม่ปล่อย ทำให้คนในวังหลวงพากันหลีกเลี่ยงกลัวกันเป็นแถบ ๆ ปรารถนาที่จะอยู่ห่าง ๆ ได้ยิ่งดี

ถึงกระนั้นนางก็ยังไม่สามารถหาวิธีติดต่อกับโลกภายนอกได้ นับประสาอะไรกับการจะหลบหนีออกจากที่นี่

วันนี้คนในวังหลวงที่รับผิดชอบเฝ้านางยังคงวิ่งมาเฝ้าที่หน้าประตูอย่างไม่ยอมเบื่อหรือเหนื่อยหน่ายแต่อย่างใด

นางเริ่มปั่นป่วนไปรอบ ๆ ทุกซอกทุกมุมที่เป็นที่ลับของตาเฒ่าฮ่องเต้ก็พลิกหาดูรอบหนึ่งแล้วแต่กลับไม่พบอะไรเลย

อยู่ ๆ ทางด้านหลังก็มีเสียงฝีเท้าเดินเบามาก ๆ ดังขึ้น พระสนมฮุ่ยเฟยจึงหันขวับไปมองด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเป็นพระสนมหลินเฟยที่ไม่รู้ว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร และเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างหลังตัวเองและมองนางอย่างเย็นชา

“พระสนมฮุ่ยเฟยกำลังหาอะไรอยู่งั้นหรือ?”

พระสนมฮุ่ยเฟยมีท่าทางไม่สนใจไยดีและทำท่าปัดฝุ่นในมือ “เจ้าจะมาสนใจข้าทำไม”

พระสนมหลินเฟยมองเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างแล้วนั่งลง “อ๋องฉีตายไปแล้ว เจ้าจะหาตราราชลัญจกรหยกไปทำไม? หรือว่ายังมีความคิดอะไรอย่างอื่นอีกงั้นหรือ?”

ในตำหนักไม่มีนางกำนัลคอยปรนนิบัติ และพระสนมฮุ่ยเฟยก็ทุ่มสุดตัวโดยไม่คิดชีวิต นางกางกรงเล็บกระดูกขาวใส่ใบหน้าที่ขาวผุดพร่องของพระสนมหลินเฟย

พระสนมหลินเฟยไม่ได้ป้องกันตัวจึงถูกจับเอาไว้อยู่หมัด ได้แต่ส่งเสียงครวญครางร้องอู้อี้และถอยหลังไปหลายก้าว ใบหน้าของนางถูกแต่งแต้มไปด้วยรอยข่วน

พระสนมฮุ่ยเฟยเหมือนคนบ้าก็ไม่ปาน นางไม่ยอมลดละโดยการก้าวไปข้างหน้าและกระชากผมพระสนมหลินเฟยเอาไว้และแตะต่อยอย่างสุดแรง

“เจ้ามันเป็นหญิงแก่บ้า ทำร้ายฉีเอ๋อร์ของข้า ข้าจะฆ่าเจ้า!”

นางมาจากจวนอันกั๋วกงอย่างน้อยก็เป็นตระกูลขุนพลบู๊ พละกำลังของนางไม่ใช่ร่างกายที่คนบอบบางอย่างพระสนมหลินเฟยจะสามารถต้านทานได้ พระสนมหลินเฟยไม่คาดคิดว่านางจะหยาบคายและป่าเถื่อนจนไม่สามารถดิ้นรนให้หลุดพ้นได้ ได้แต่ยกแขนขึ้นมาปกป้องใบหน้าและตะโกนเรียกคนมาช่วย

เมื่อนางกำนัลที่อยู่ข้างนอกได้ยินเสียงพระสนมหลินเฟยร้องโหยหวน ก็รีบเข้ามาอย่างรีบร้อน พากันช่วยกันดึงแขนล็อกมือนาง นำทั้งสองคนแยกออกจากกัน และก็กดพระสนมฮุ่ยเฟยลงบนพื้น พร้อมมัดด้วยเชือกให้แน่น

พระสนมหลินเฟยถ่มเลือดออกมาและด่ากราดด้วยความโกรธ แต่บนใบหน้ากลับแฝงไปด้วยรอยยิ้ม

จากความเกลียดชังที่ฝังลึกเข้ากระดูกดำของพระสนมฮุ่ยเฟยสามารถมองออกว่ามู่หรงฉีตายไปแล้วจริง ๆ อย่างน้อยพระสนมฮุ่ยเฟยก็คิดว่าเป็นแบบนี้ เป็นตัวเองที่กังวลมากเกินไป

เหลิ่งชิงฮวนเป็นคนเจ้าเล่ห์แถมฉลาดแกมโกง ไม่สามารถลองเชิงอะไรได้ แต่พระสนมฮุ่ยเฟยไม่เหมือนกัน นางเป็นคนตรงไปตรงมา ชอบหรือเกลียดล้วนแสดงอยู่บนใบหน้า

พระสนมฮุ่ยเฟยที่นอนอยู่บนพื้นพยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลังจนหมดเรี่ยวแรง ได้แต่ด่าสาปแช่งอย่างไม่ไว้หน้า จากนั้นก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง

พระสนมหลินเฟยตั้งใจที่จะยั่วยุพระสนมฮุ่ยเฟย จึงสั่งให้นางกำนัลถอยออกไปอีกครั้ง และตัวเองก็ย้ายเก้าอี้มานั่งตรงข้ามกับพระสนมฮุ่ยเฟย วางท่าสูงส่ง

“เจ้าอย่าเสียได้ออกแรงอย่างไร้ประโยชน์อีกเลย มู่หรงฉีก็ตายไปแล้ว เจ้ายังมีอะไรที่สามารถสู้ข้าได้อีกงั้นหรือ? เรื่องนี้หากเจ้าเอาตัวออกห่าง ข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบาก แต่หากเจ้าพูดด้วยดี ๆ และไม่รู้เรื่องยังคงดื้อดึงต่อ ยังต้องการยื่นหัวเข้ามาแทรกเพื่อต่อกรกับข้าให้ได้ งั้นก็เป็นเจ้าที่แกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง”

พระสนมฮุ่ยเฟยถลึงตามองพระสนมหลินเฟยอย่างเคียดแค้นและร้องไห้อย่างขมขื่น “ข้าจะฟ้องฝ่าบาท ว่าเป็นพวกเจ้าที่ทำร้ายฉีเอ๋อร์ของข้า ข้าจะตัดหัวของพวกเจ้าเพื่อฝังเป็นเพื่อนฉีเอ๋อร์ของข้า!”

พระสนมหลินเฟยทำเสียงฮึดฮัดเบา ๆ และมองไปที่ฝ่าบาทที่นอนอยู่บนเตียงมังกรด้วยสาตาดูถูกเหยียดหยาม “ตัวพระองค์เองยังปกป้องตัวเองไม่ได้ ชีวิตน้อย ๆ ของพระองค์ยังอยู่ในกำมือของข้า เจ้ายังหวังให้พระองค์ช่วยเจ้างั้นหรือ? ถ้ายังไงเจ้าลองบอกข้าที ว่าตราราชลัญจกรหยกผู้สืบทอดใต้หล้าฝ่าบาทได้มอบให้ใครไป? และยังมีแผนการอะไรอีก? บอกข้ามา ข้าสามารถไว้ชีวิตเจ้าและปล่อยเจ้าออกจากวังหลวงได้”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา