ดวงตาของซูหวั่นร้อนเผ่าขึ้นมา“ท่านพ่อ ท่านพ่อคิดว่าตัวเองขาพิการแล้วจะทำงานหาเลี้ยงพวกเราและท่านแม่ไม่ได้ใช่ไหมคะ?”
คงไม่ต้องคิด ซูเหลียนเฉิงจะต้องคิดแบบนี้อย่างแน่นอน
ในยุคสมัยนี้ เมื่อขาพิการและไม่รู้หนังสือก็เท่ากันเป็นคนไร้ค่าไปแล้ว และหากขาดแคลนแรงงานภายในบ้านไปก็เท่ากับว่าได้สูญเสียชีวิตไปแล้วครึ่งหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าซูเหลียนเฉิงไม่พูดอะไร ซูหวั่นก็พูดเกลี้ยกล่อมต่อไปอีกว่า“หากท่านย่าต้องการแยกครอบครัว แต่ท่านพ่อยังคงดึงดันที่จะไม่แยกอยู่แบบนั้น มันก็รนแต่ทำให้พวกเราและท่านแม่ยิ่งจะอยู่ยากขึ้นนะครับ!”
ซูเหลียนเฉิงจ้องมองลูกสาวด้วยขอบตาที่แดงก่ำ
เขาไม่รู้จริงๆว่าจะต้องทำอย่างไรดี ตัวเขาไม่เอาไหนเลยสักอย่าง ลูกชายก็เป็นเด็กหัวช้าอีก ลูกสาวก็ผอมบาง ไม่มีใครที่จะสามารถพึ่งพาได้เลย
ปัก!
เขายกมือขึ้นและทุบไปที่เสื่อหญ้าด้วยความคับแค้นใจ และโทษที่ตัวเองไม่เอาไหน“อาหวั่น เพราะพ่อไม่เอาไหนเอง!”
“ท่านพ่อ ข้าขอสัญญาว่า ขอแค่ท่านพ่อตกลงที่จะแยกครอบครัวออกมา ข้าจะดูแลท่านแม่และน้องๆให้ดี โดยที่ขาของท่านพ่อก็จะต้องรักษาจนหายได้เช่นกัน ข้าเชื่อว่าเทพเจ้าจะไม่โกหกข้า”
ซูเหลียนเฉิงตกตะลึงขึ้นมาเล็กน้อย
และก็พยักหน้าอีกครั้ง“ได้ พ่อตกลงที่จะแยกครอบครัว พวกเรากลับไปกันเถอะ!”
เมื่อออกจากถ้ำจนมาถึงบ้านสกุลซูก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว เนื่องจากต้องดูแลซูเหลียนเฉิงตลอดการเดินทาง ซูหวั่นจึงขับเกวียนได้ช้าเอาเสียมากๆ
และก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ทันทีที่พวกเขาเดินเข้าประตูไป ยังไม่ทันได้ดื่มน้ำหรือพูดคุยกับนางหลี่เลยสักคำ ก็พบว่านางหวางได้เดินโยกย้ายส่ายสะโพกและมาตะโกนปาวๆอยู่ที่ประตูบ้านฝั่งตะวันออกแล้ว
นางหวางชะโงกหน้าเข้าไปมองภายในห้องอย่างลับๆล่อๆ“พี่รองพี่สะใภ้ ท่านแม่ให้มาตามพวกพี่ขึ้นไปบ้านใหญ่ รีบไปเถอะ อย่าให้ท่านรอนานเลยนะ!”
ซูเหลียนเฉิงรู้สึกสั่นสะท้านอยู่ในใจ
ย่อมเข้าใจดีว่าเวลานี้ได้เรียกพวกเขาไปพบด้วยสาเหตุอะไร ซึ่งนางหลี่ก็ไม่ได้โง่ นางก็รู้ความหมายของเรื่องนี้ดี ดังนั้นนางจึงจูงมือเด็กทั้งสองคนให้เดินออกไปข้างนอก
“น้องสาม ให้พี่สามกับพี่ใหญ่มาแบกเขาสักหน่อย ตอนนี้พี่เฉิงยังเดินไม่ได้นะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเป็นสาวชาวนา