“ฮ่าๆ นั่นสินะ เอาเป็นว่ามื้อนี้ทานเยอะหน่อยก็แล้วกัน ฉลองให้กับเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้น จริงไหมเจ้าธัญญ์” คนถูกเรียกอึกอัก ไม่รู้จะตอบยังไง เขาเพิ่งรับรู้เรื่องทั้งหมดก่อนที่หญิงสาวจะลงมา อาการตกใจและโกรธเคืองยังไม่จางหาย แต่ก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไร
“ครับอา ฉลองให้ความสำเร็จของคนบางคน” ชายหนุ่มจงใจเน้นเสียง และมองอย่างดุดันมายังเธอ ร่างบางกระตุกเล็กน้อย เขารู้เรื่องทั้งหมดแล้วจริงๆ เธอไม่อาจจะปกปิดได้มีทางเดียวที่ต้องทำ คือเผชิญกับสิ่งที่เขาจะตอบโต้เธอ และสายตาที่มองจับจ้องมาก็บ่งบอกให้รู้เลยว่าเธอจะต้องได้รับความขมขื่นอีกมากจากเขา
“อ้าวทานกุ้งดีกว่า ฉันตักให้” มือหนาตักกุ้งใส่จานให้หญิงสาวเธอก้มศีรษะขอบคุณเขา แต่สายตาที่เหมือนอาฆาตแค้นกลับทำให้รสชาติอาหารฝืดจนเธอกลืนไม่ลง
“พอแล้วค่ะ พิตต้าทานไม่หมดหรอก”
“อืม ก็อยากให้หนูทานเยอะน่ะสิ” เขาตอบพลางชำเลืองมองหลานชาย
“ค่ะ”
“แกก็ด้วยเจ้าธัญญ์ มัวแต่เขี่ยอยู่นั่นแหละ”
“ผมไม่ค่อยหิวครับอา”
“คนบ้านนี้เป็นอะไรกันไปหมด เรื่องข้าวไม่อยากจะแตะ ทีเรื่องสุรานั่นไม่เคยปฏิเสธ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับอา...ผมรู้สึกเหมือนไม่ค่อยสบายเลยไม่อยากทานอะไร”
“คุณธัญญ์เป็นอะไรคะ” พิยะตาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย ทำให้ธีร์หันมองเธออย่างแปลกใจ ส่วนคนปลดก็จับจ้องใบหน้าหวานราวกับค้นหาความจริงใจ
“ปวดหัว...ใจ” คำหลังเขาจงใจให้เธอได้ยินเพียงคนเดียว
“ถ้าไม่สบายก็รีบทานยาแล้วก็พักผ่อนซะ”
“เดี๋ยวพิตต้าทำซุปร้อนๆ ให้ไหมคะ”
“ไม่ต้องผมไม่อยากทานอะไรทั้งนั้น” พูดจบเขาก็ถือโอกาสหลบเลี่ยงภาพบาดใจทันที สายตาคู่งามมองตามจนแผ่นหลังหนาหายไป
“ทานต่อเถอะหนูพิตต้า...เจ้าธัญญ์มันแข็งแรงจะตาย ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก”
“ค่ะ” หญิงสาวตอบรับ แต่เธอก็ดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด ทำไมเธอถึงรู้สึกแปลกเช่นนี้ แค่ได้ยินเขาพูดว่าไม่สบายหัวใจดวงน้อยก็ดิ่งวูบราวกับคนตกใจ เธอเป็นห่วงเขามากเพียงนี้เลยเหรอ หญิงสาวพยายามไม่คิดถึงใบหน้าของเขา คนที่ทำให้เธอเสียใจ
หลังมื้ออาหารที่อึมครึ้มชายหนุ่มก็เลี่ยงออกมาสูดอากาศเย็นๆให้จิตใจที่ร้อนลุ่มผ่อนคลาย สมองที่แน่นไปด้วยความคิดเต้นตุบๆปวดร้าวเสียจนอยากจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง แก้วบรั่นดีในมือถูกยกดื่มจนหมด เขาหวังให้มันช่วยรักษาความเจ็บปวดในใจ ชายหนุ่มไม่อยากรับรู้เรื่องที่ธีร์บอกกล่าวเลยจริงๆ ถ้าวันนี้เขาไม่คิดถึงร่างบางที่หอมกรุ่นเขาคงไม่ต้องมาเจ็บเจียนจะขาดใจ ญาติผู้ใหญ่คนเดียวที่เหลืออยู่บอกให้เขารับรู้ว่า หญิงสาวที่ทำให้จิตใจเขาว้าวุ่นกำลังจะเข้ามาเป็นครอบเดียวกับเขา เธอทำสำเร็จแล้วจริงๆ สิ่งที่เขากังวลอยู่ในใจก็คือเรื่องนี้ เขากลัวว่าอาจะหลงใหลหญิงสาวจนยอมให้เธอมาเป็นอาสะใภ้จริงๆ
“โธ่ เว๊ย นี่มันบ้าอะไร” เสียงที่แผดร้องไม่ช่วยให้เขาหายอึดอัดใจ
“ใครอยู่ตรงนั้น เอาเหล้ามาอีก” เขาตะโกนสั่งสาวใช้อย่างคนเสียสติ ไม่รู้เลยว่าที่เขาโมโหอยู่นี่เพราะเรื่องอะไรกันแน่ กลัวเธอจะมาหลอกปลอกลอกอาของเขา หรือว่าเขาทนสูญเสียเธอไปไม่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวอย่างจะบีบร่างเล็กๆให้ยอมเอ่ยปากพูดอะไรกับเขาบ้าง แลกกับอะไรก็ได้ที่เขามีให้เธอปฏิเสธเงื่อนไขทั้งหมดนั้นเสีย เหล้าอีกหลายแก้วที่เขาดื่มลงลำคอง่ายๆเหมือนมันไม่มีรสชาติเลย ธัญญ์หันกลับจะเข้าไปในบ้านแต่วูบหนึ่งเขาก็เห็นแสงไฟผ่านรอยแยกของม่านในห้องของคนที่เขากำลังโหยหา ม่านนั้นไหวเล็กน้อยราวกับเพิ่งมีใครปิดมันลง เขาแอบนึกเข้าข้างตัวเองว่าหญิงสาวคงมองเขาผ่านม่านนั้น แต่แล้วเขาก็ต้องส่ายหน้าสลัดความคิดนั้นออกไป เพราะคงไม่มีทางที่เธอจะมองเขาเป็นแน่ ผู้ชายที่ไม่มีอะไรดีอย่างเขา ไม่เอาไหนซักเรื่อง
“ติ๊ดๆ”
“เออ ว่าไงกิตติ” ชายหนุ่มรับโทรศัพท์จากเพื่อนอย่างเบื่อหน่าย
“วันนี้ไม่ออกไปไหนเหรอวะ”
“ไม่ ฉันเบื่อๆน่ะ มีอะไรว่ามา”
“มีร้านดีๆแนะนำเว้ย ที่นี่เจ๋งสุดยอดสาวสวยปิ๊ง บรรยากาศก็ดีนะ สนไหม” เขาเม้มปากตัดสินใจก่อนจะยินยอมออกไปปลดปล่อยความกัดกลุ้มกับเพื่อนๆ
“โอเค เดี๋ยวฉันตามไป ถ้าไม่ดีอย่างที่ว่า เจอตีนแน่ไอ้กิต”
“แหมโหดจริงเพื่อน รีบมาเลย เดี๋ยวเรียกสาวๆมารอเว๊ย” สายถูกตัดแล้ว ชายหนุ่มชำเลืองมองห้องนอนสาวอีกครั้ง เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะรีบออกไป
สถานที่นัดหมายไม่ได้ดึงดูดใจของธัญญ์เลยซักนิด ที่เขายอมออกมาหาเพื่อนสนิทก็เพราะต้องการจะออกไปให้พ้นจากภาพของหญิงสาวใจง่าย เสียงดนตรีดังอึกกระทึก บรรดานักเที่ยวพากันโยกตัวให้เข้ากับจังหวะเพลง ธัญญ์มองหาคนที่นัดเอาไว้เพียงครู่เขาก็เห็นมือหนาโบกเรียกอยู่มุมหนึ่งของผับ
“รวดเร็วทันใจจริงๆ เว้ยไอ้ธัญญ์”
“อืม...นี่เหรอร้านที่แกจะแนะฉัน” ชายหนุ่มมองไปรอบๆ เขาไม่นึกชอบร้านนี้เลยซักนิด
“เอาน่า...เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ร้านนี้สาวเพียบ”
“แกก็มีอยู่เรื่องเดียวนั่นแหละ”
“น้องๆ มานั่งเป็นเพื่อน หนุ่มหล่อคนนี้หน่อยสิ” กิตติเรียกสาวดริ้งค์น่าจิ้มลิ้มมานั่งข้างๆ ธัญญ์ เมื่อเธอนั่งลงชายหนุ่มก็ขยับออกเล็กน้อย
“เฮ้ยนึกจะไปก็ไปไอ้นี่เป็นเอามาก”
“อย่ามาด่าฉันลับหลังนะเว๊ย” คนเมาหันมาโวยวายใส่เพื่อน
“เออๆ รีบไปเลยแก”
แสงสลัวจากดวงจันทร์สะท้อนผ่านกระจกหน้าต่างห้องนอน ร่างบางที่เอนตัวพิงผนังมองทอดสายตาออกไปข้างนอก หญิงสาวถอนหายใจนับครั้งไม่ถ้วน เธอดูกังวลไม่น้อยที่ยังไม่เห็นรถคันคุ้นตาแล่นมาจอดยังที่ประจำสักที เรียวปากบางเม้มก่อนหันดูนาฬิกาปลุกแบบดิจิตอลข้างเตียงนอน
“เฮ้อ อีตาบ้ามืดค่ำป่านนี้แล้วทำไมยังไม่กลับมาอีกนะ...ฮึ คงไปอี๋อ๋อกับสาวๆ เพลินล่ะสิ” น้ำเสียงที่บ่นกับสีหน้าสาวนั่นขัดแย้งกันสิ้นดี เธอหันกลับไปจดจ่อรอคอยคนที่ทำให้จิตใจเธอว้าวุ่น
“หาวๆ ฉันง่วงแล้วนะคุณธัญญ์ ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนเนี่ย” ร่างบางเดินไปนั่งที่เตียงนุ่ม เธอจัดตัวเองให้อยู่ในสภาพพร้อมที่จะพักผ่อน แต่ก็มิวายเหลือบมองผ่านผ้าม่านสีหวานอย่างกังวล
“ปิ๊นๆๆ...ปิ๊น” เสียงแตรรถยนต์คันงามดังกังวานจนหญิงสาวสะดุ้งลุกจากที่นอนแทบไม่ทัน
“กลับมาแล้วสินะ...ปล่อยให้เราเป็นห่วงแทบแย่” พิยะตาเอียงศีรษะซบหมอนแล้วหลับตาอย่างอ่อนล้าจากการอดหลับอดนอนเฝ้ารอคอยชายหนุ่ม เธอคลายความกังวลใจลงแล้วที่เหลือก็แค่ซุกกายใต้ผ้าห่มอุ่น
“ไม่มีใครสนใจไอ้ธัญญ์เลยซักคน...หายไปไหนกันหมด”
“คุณท่านเข้านอนแล้วค่ะคุณธัญญ์”
“แล้วทำไมป้าไม่นอน”
“รอเปิดประตูให้คุณธัญญ์ไงค่ะ”
"ก็คงจะมีแต่ป้าสินะ ที่ยังเห็นหัวไอ้ธัญญ์"
"โธ่ คุณธัญญ์ ไม่คิดอย่างนั้นสิคะ"
“ฮึ ไปๆ ไม่อยากเห็นหน้าคนแก่”
“อ้าว ทำไมพูดแบบนี้ล่ะคะ ขึ้นไปนอนบนห้องเถอะค่ะคุณธัญญ์” เสียงคนอารมณ์ร้อนโวยวายจากด้านล่างทำให้เรียวปากบางยิ้มเล็กน้อย เสียงคนเมาร่วนฟังแล้วอดขำไม่ได้ เธอซึมซับพฤติกรรมของคนอารมณ์ร้อนโดยไม่รู้ ปากร้ายที่แสดงออกก็แค่กลบเกลื่อนความอ่อนแอของตัวเองถึงแม้มันจะทำให้ใครหลายคนไม่พอใจเวลาเขาระบายอารมณ์ใส่ แต่เมื่อความหงุดหงิดหายไปเขาก็ไม่ต่างกับลูกแมวน้อยเชื่องๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทัณฑ์นางโลม