ทัณฑ์นางโลม นิยาย บท 27

“คงไปเดินแถวนี้มั้งครับ ถ้าอย่างนั้นระหว่างที่รอให้ผมยืนคุยเป็นเพื่อนนะครับ”

“ด้วยความยินดีค่ะ”

“ดื่มอะไรก่อนดีกว่า น้ำส้มไหม”

“งั้นก็ได้ค่ะ” วราวุฒิส่งแก้วเครื่องดื่มสีหวานให้หญิงสาว เธอก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ

“ผมไม่เคยเจอคุณในงานเลี้ยงที่อื่นเลย ไม่ทราบว่าเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกหรือเปล่าครับ” แก้มเนียนชาวาบ สังคมไฮโซทำร้ายเธอแล้ว พิยะตาหลุบตาลงเล็กน้อย

“เปล่าค่ะ พิตต้าไม่ได้ไปเรียนเมืองนอกเมืองนากับเค้าหรอก”

“อืม เมืองไทยเรามีมหาลัยวิทยาลัยดีๆ ตั้งเยอะ ไม่เห็นต้องไปเรียนไกลเลยจริงไหมครับ”

“นั่นสิคะ พิตต้าไม่ใช่ลูกผู้ดีมีเงินค่ะ คงไปไกลบ้านไม่ได้หรอก” หญิงสาวตอบอย่างใสซื่อ

“คุณพ่อ คุณแม่หวงเหรอครับเนี่ย ถึงไม่ยอมให้ไปไหน”

“พิตต้าไม่มีใครค่ะ ท่านทั้งสองเสียไปตั้งแต่พิตต้ายังเด็ก”

“เอ่อ ผมเสียใจด้วย และก็ต้องขอโทษที่พูดให้คุณไม่สบายใจ”

“อย่ากังวลเลยค่ะ คุณวราวุฒิ” รอยยิ้มโชว์เขี้ยวเสน่ห์ของคนหนุ่มทำให้เขาดูเป็นผู้ชายอารมณ์ดีกว่าในตอนที่เข้ามาทักทาย พิยะตาพูดคุยเรื่องต่างๆ กับเขาได้สนิทอย่างบอกไม่ถูก

“ปกติแล้วคุณพิตต้าชอบทำอะไร เอ่อผมหมายถึงวันว่างน่ะครับ” หญิงสาวทำท่าครุ่นคิด ก็ทุกวันของเธอว่างเสียจนน่าเบื่อ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรแบบนี้หญิงสาวคงต้องหาคำตอบที่ไม่ทำให้ตัวเองดูแย่ไปกว่านี้

“แล้วแต่อารมณ์ค่ะ บางวันก็อ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือหาอะไรทาน ชิมไปเรื่อยค่ะ”

“ว้าว เป็นนักชิมหรือเปล่าครับ แบบนี้ผมคงต้องทดสอบความละเอียดของปลายลิ้นคุณเสียแล้ว”

“ยังไงคะ”

“พอดีผมรู้จักร้านอาหารอยู่หลายร้าน ทั้งไทย อิตาเลี่ยน อเมริกัน จีน ญี่ปุ่น ถ้าคุณพิตต้าสนใจจะไปลิ้มลองบอกผมได้นะครับ”

“อุ๊ย พิตต้าไม่กล้าหรอกค่ะ เกรงใจคุณวราวุฒิแย่เลย”

“เอาเป็นว่าผมชวนแล้วกัน ส่วนร้านให้คุณพิตต้าเป็นคนเลือก...โอเคไหม” หญิงสาวยิ้มหวานให้ชายหนุ่มโดยไม่รู้ว่ารอยยิ้มนั้นทำให้ใครบางคนร้อนรนจนแทบจะอยู่เฉยไม่ได้

“พิตต้าทานเป็นแต่อาหารข้างทาง...อาหารเลิศรสพิตต้าไม่เคยทานหรอกค่ะ”

“ถ้าไม่เคยก็ถือว่าโชคดีของผม ที่จะช่วยพาคุณไปลองทานเป็นครั้งแรก” คนหน้าหวานนึกแปลกใจที่คนหนุ่มอารมณ์ดีผิดกับคนที่เคยเจอ สังคมไฮโซยังมีคนแบบนี้อีกเหรอที่ไม่ดูถูกคนต่ำต้อยแถมยังยอมรับความเป็นตัวเองของเธออีก แต่นี่ก็เป็นครั้งที่ได้รู้จักเขา มันคงไม่ดีถ้าเธอให้ความสนิทสนมมากเกินไป หญิงสาวจึงพยายามสำรวมกิริยาเอาไว้ให้มาที่สุด

“คุณวราวุฒิทำงานอะไรคะ”

“ส่งออกวัตถุดิบในการผลิตเสื้อผ้าครับ”

“เอ๊ะ เมื่อครู่พิตต้าได้รู้จักคุณวัชรา เค้าก็ทำธุรกิจเดียวกับคุณเลยค่ะ”

“ฮ่าๆ คุณพ่อผมเองครับ”

“อุ๊ย จริงเหรอคะ แบบนี้ก็แสดงว่าทำธุรกิจส่วนตัว ดีจังเลยนะคะไม่ต้องเหนื่อยไปหางานทำที่อื่น”

“ก็ไม่ถึงกับดีหรอกครับ กดดันกว่าไปทำงานที่อื่นอีก เพราะเราต้องทำให้ดีที่สุด”

“ฟังดูเครียดจังเลยค่ะ”

“เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า...คุณพิตต้ามากับใครครับ”

“คุณอาค่ะ...ที่ตามหาอยู่เมื่อครู่” หญิงสาวตอบไปยิ้มไปด้วยความพยายามรักษามารยาททางสังคมที่เธอไม่เคยอยากจะก้าวเข้ามาอยู่เลย ชายหนุ่มก็คุยเก่งเสียจนเธอตอบแทบไม่ทัน รอยยิ้มของเขาไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเป็นคนดูถูกคนต่ำต้อย เขาออกจะใจดีและสุภาพ

“คุยอะไรกันอยู่คะ ท่าทางน่าสนุกจัง” เสียงหวานเคลือบความไม่จริงใจเอาไว้เต็มร้อย จนคนทั้งสองต้องหันไปมองต้นเสียง สุรัตนายืนควงแขนธัญญ์อย่างสนิทสนม หญิงสาวส่งรอยยิ้มเย้ยหยั่นมาให้พิยะตาพร้อมสายตาดูถูกดูแคลน ส่วนคนหนุ่มก็ทำหน้าเรียบตึงไม่รู้สึกอะไร

“อ้าวคุณธัญญ์ คุณสุรัตนา แหมไม่ได้เจอกันนาน ผมตกข่าวอะไรหรือเปล่า” วราวุฒิมองแขนที่เกี่ยวแน่นของหญิงสาวแล้วก็ต้องถามอยากแปลกใจ

“คุณวุฒิคะ ไม่ตกข่าวหรอกค่ะ แต่อีกไม่นานข่าวที่คุณคิดก็จะเป็นจริง”

“งั้นผมคงต้องแสดงความยินดีล่วงหน้ากับคุณทั้งคู่นะครับ”

“คงไม่จำหรอกครับ...เพราะผมกับสุ เราเป็น”

“อดีตคนรักที่กำลังจะกลับมารักกันใหม่” สุรัตนาชิงพูดแทนธัญญ์เพราะกลัวว่าเขาจะทำให้เธอหน้าแตก ส่วนหญิงสาวอีกคนก็ยืนฟังด้วยใจที่สั่นระรัว

“อืม โชคดีจริงๆ นะครับ ผมก็ไม่ค่อยได้เห็นคนที่เลิกกันแล้วกลับมารักกันใหม่เสียเท่าไหร่” คำพูดนั้นเหมือนทิ่มแทงใจของสุรัตนาจนเธอต้องหุบยิ้มทันที

“ดูพูดเข้า แบบนี้สุใจคอไม่ดีเลยค่ะ”

“ผมขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณสุเสียขวัญ”

“แล้วทำไมสองคนนี้ไม่พูดอะไรบ้างเลยครับ เอาแต่มองกันไปมองกันอยู่นั่นแหละ คุณธัญญ์ คุณพิตต้า” สายตาที่ดุดันเชือดเฉือนใจคนสาวยิ่งนัก วนเธอก็มีเพียงสายตาที่เง้างอนน้อยใจในตัวเขา

“ปะ เปล่าค่ะ”

“ไม่ได้มองซักหน่อยคุณวุฒิเข้าใจผิดแล้ว”

“โอเคๆ...เราไปด้านหน้าดีกว่าเค้ากำลังจะประกาศข่าวสำคัญแล้ว”

“ข่าวดีอะไรค่ะ/ครับ” พิยะตาประสานเสียงพร้อมธัญญ์อย่างสงสัย

“ไปฟังกันดีครับ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

วราวุฒิผายมือให้พิยะตาเดินนำเขาไปยังหน้าเวทีอย่างสุภาพ ส่วนคนอยากหาเรื่องกลับเดินแทรกเฉี่ยวร่างบางจนเธอเกือบเสียหลัก

“อุ๊ย”

“เป็นไรหรือเปล่าครับคุณพิตต้า” วราวุฒิไวพอที่จะประคองคนตัวเล็กไว้ทัน

“ไม่ค่ะ เชิญค่ะ” ทั้งสี่คนยื่นอยู่หน้าเวทีใกล้ๆ กัน สุรัตนายังคงเกาะเกี่ยวแนบชิดกับชายร่างหนา และส่งสายตาไม่เป็นมิตรมาให้พิยะตาอยู่เรื่อย

“ซุ่มซ่าม หรือสำออยกันแน่” เสียงที่เล็ดลอดไรฟันซี่ขาวของเขาบาดใจคนสาวยิ่งนัก นี่ถ้าไม่ได้อยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายเธอคงจะชกหน้าเขาไปแล้ว แกล้งเดินมาชนให้เธออับอายแล้วต่อว่าเจ็บปวดอีก จิตใจเขาทำด้วยอะไรกันแน่ หญิงสาวคิดตำหนิเขาในใจ

“เอาล่ะคะ หลังจากประกาศรางวัลผู้บริหารดีเด่นประจำปีไปแล้ว ข่าวสำคัญอีกอย่างที่อยากจะให้ทุกท่านได้ร่วมเป็นสักขีพยานในค่ำคืนนี้ก็คือ การต้อนรับรองผู้บริหารคนใหม่ค่ะ คุณธัญญ์ สินสาโรจน์ ทายาทคนเดียวของสินสาโรจน์ครับ” หลังจากพิธีกรเอ่ยชื่อชายหนุ่ม เสียงปรบมือก็ดังกึกก้อง ชายหนุ่มหันมองอาบังเกิดเกล้า เขาไม่รู้มาก่อนว่าจะได้รับเลือกให้ทำหน้าที่นี้

“เชิญคุณธัญญ์ ขึ้นมาโชว์ตัวหน่อยค่ะ” ชายหนุ่มกล้าๆ กลัวๆ ที่จะก้าวเท้าออกไป

“ไปสิคะธัญญ์ เค้าเรียกคุณแล้วนะ ไปสิ” สุรัตนาออกแรงดันร่างหนาให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความยินดี เธอยิ้มดีใจจนแก้มปริยิ่งกว่าคนได้รับตำแหน่งเสียอีก

“สมใจคุณแล้วนะ...ตำแหน่งรองผู้บริหารคงจะมั่นคงกว่าสถาปนิกใช่ไหม” พิยะตาจงใจพูดให้คนดีใจออกนอกหน้าได้ยิน หญิงสาวส่งสายตาท้าทายให้สุรัตนาอย่างไม่กลัวเกรง

“ยายพิตต้า เธอจะไปรู้อะไร ธัญญ์เค้าต้องได้มากกว่านั้น”

“เอาให้เต็มที่เลยค่ะ” หญิงสาวเย้ยกลับไปบ้าง เธอรู้ดีว่าไม่ควรทำเช่นนี้แต่จะให้คนอื่นมาดูแคลนเธอฝ่ายเดียวนั้นไม่ใช่นิสัยของพิยะตาเลย ยิ่งถ้าเป็นชายหนุ่มขี้โวยวายแล้วล่ะก็เธอจะไม่อดทนนานนักหรอก เธอจะตอกกลับให้เขารับรู้บ้างว่าความเจ็บปวดทรมานใจมันเป็นเช่นไร

“พิตต้าจ๊ะ ไปหาคนธีร์สิจ๊ะ ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้”

“อาโด่ง พิตต้ามองหาอาตั้งนานค่ะ...แล้วพิตต้าก็มายืนอยู่กับคุณวราวุฒิ เพื่อนใหม่ค่ะ” ชายหนุ่มที่ถูกแนะนำยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

“สวัสดีค่ะ...ดิฉันต้องขอตัวหลานสาวก่อนนะคะ”

“ครับ” ดนุพรจูงมือหลานสาวอย่างอ่อนโยน ธีร์หันมามองร่างบางทั้งสอง เขาส่งยิ้มยินดี แต่อยู่ๆ มือที่อ่อนโยนก็ค่อยๆ บีบแน่นขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเดินเข้าใกล้ชายหนุ่มมากแค่ไหนหล่อนก็ออกแรงบีบและสั่นเทาเพิ่มขึ้นไปอีก

“อาคะ” เสียงเรียกทำให้คนว้าวุ่นรู้สึกตัว หล่อนจึงปล่อยมือหลานสาว

“พาคนสวยมาส่งคืนค่ะ...แหมไม่ดูแลรักษาเลยนะคะ ปล่อยให้พิตต้าไปยืนคุยกับใครก็ไม่รู้”

“อะ เอ่อ คุณวราวุฒิ ลูกชายผมเอง” วัชราเอ่ยตอบ

“อ้าวจริงเหรอคะ โด่งขอโทษค่ะที่เสียมารยาทไม่ทราบจริงๆ ว่าเป็นลูกชายของท่าน”

“ไม่เป็นไร มีหลานสวยขนาดนี้ก็ต้องหวงเป็นธรรมดา”

“ค่ะ...ยิ่งตอนนี้หลานสาวไม่ได้โสดแล้วต้องดูแลมากกว่าเดิมหน่อย กลัวคนอื่นจะมองว่าไม่ควรค่ะ” เหมือน ดนุพรจะหันคำพูดมาทางหญิงสาว เธอมองใบหน้าสวยอย่างไม่เข้าใจการกระทำนี้เลย ไม่รู้ว่าที่หล่อนทำไปนั้นเพราะปกป้องหญิงสาวจริงๆ หรือทำเพื่อประชดใครบางคนกันแน่

“เอาล่ะ เดี๋ยวผมดูแลพิตต้าเอง คุณไม่ต้องห่วง” พูดจบธีร์ก็รวบมือบางมาเกี่ยวมือเขาไว้ สายตาคู่สวยมองจับจ้องสั่นไหว แต่นี่เป็นความต้องการของหล่อนเองจะว่าอะไรเขาได้ ถึงแม้หัวใจจะหวิวไหวเพียงใดดนุพรก็ต้องเก็บอาการทั้งหมดให้พ้นสายตาหลานสาวและธีร์

“ยายพิตต้า นี่เราไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งทำให้อาสบายใจขึ้นกันนะ” พิยะตาขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“บอกพิตต้าสิคะ ว่าเพราะอะไรอาถึงต้องมาเสียใจแบบนี้”

“ถ้าบอกแล้วสัญญานะว่าจะไม่โกรธอา” หญิงสาวค่อยๆ ดันตัวเองออกจากอ้อมกอดที่โรยแรง

“ไม่ค่ะ ไม่ว่าอาจะเป็นอะไร จะทำอะไรพิตต้าก็จะไม่โกรธอาค่ะ พิตต้าสัญญา”

“เรื่องคุณธีร์” พิยะตาจับจ้องใบหน้าที่แดงระเรื่อรอลุ้นให้หล่อนรีบเล่าทุกอย่างเสียใจ

“ที่อาให้หนูแต่งงานกับคุณธีร์ก็เพราะ เอ่อ...เพราะ”

“อะไรคะอา” คนเล่าเกิดความลังเลที่จะเอ่อยความในใจออกมา หล่อนต้องต่อสู้กับความหวาดกลัวในใจอย่างมาก เสียสูดลมหายใจลึกสองครั้งก่อนที่หล่อนจะเริ่มเล่าทุกอย่าง

“ฮือ อาไม่อยากให้คุณธีร์เค้าคิดกับอาเกินเพื่อน...มันเป็นไปไม่ได้ เข้าใจไหม แต่เค้าก็ไม่ยอมรับความจริง อาไม่รู้จะทำยังไง เค้าทำดีกับอาทุกอย่าง แต่อารับไม่ได้พิตต้า” ดนุพรสะอื้นหนักกว่าเดิม ส่วนคนหญิงสาวก็ได้ตะลึงมองหน้าคนเล่าตาปริบๆ

“คิดดูสิ ถ้าคนอื่นรู้ว่าคุณธีร์คิดยังไงกับอา สังคมของเค้าจะยอมรับได้เหรอ เค้าจะโดนใครต่อใครด่าว่าแน่นอน พิตต้าอาไม่อยากให้คนดีๆ ต้องมาโดนประณามแบบนั้นนะ”

“แล้วอาคิดจะทำอะไรคะ” ปากเรียวสั่นหวาดกลัวคำตอบที่หล่อนกำลังจะเอื้อนเอ่ย

“อา เอ่อ แค่อยากจะขอให้หนูช่วย อามองไม่เห็นใครแล้วจริงๆ”

“ช่วย” เสียงอุทานเบาๆ

“ช่วยให้คุณธีร์เค้าลืมอา ช่วยให้เค้าไม่ต้องมีคนรักเป็นหญิงเทียมอย่างอา”

“อาโด่ง มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะคะ”

“อารู้แต่ช่วยอาหน่อยเถอะอามองไม่เห็นใครจริงๆ ผู้หญิงที่ดี ก็มีแต่หนูเท่านั้น” พิยะตารู้สึกเหมือนแบกโลกทั้งใบเอาไว้เลย เธอจะบอกให้หล่อนรับรู้ยังไงดีว่หัวใจดวงเล็กๆ มันแทบไม่มีที่ว่างพอให้ใครอีกแล้วนับตั้งแต่เธอยอมให้ชายอีกคนครอบครองร่างกาย

“พิตต้าทำไม่ได้หรอกคะอา...เรื่องแบบนี้จะไปบังคับหัวใจใครได้ยังไง”

“ต้องได้สิ อาเชื่อว่าหนูทำได้”

“แต่”

“พิตต้า ช่วยอาด้วยนะ ฮือๆ”

“หนูไม่รู้จะทำยังไง”

“เห็นใจอาเถอะนะ อาขอร้อง พิตต้า” เสียงเว้าวอนของคนสิ้นหวังฟังแล้วหดหู่ใจยิ่งนัก พิยะตาทำอะไรไม่ถูกเธอไม่อยากจะให้คนที่รักต้องเสียใจแบบนี้ แต่การจะฝืนใจใครมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ โดยเฉพาะเป็นคนที่ดนุพรเองก็รักถึงปากจะไม่บอกแต่ที่หล่อนทำมันแสดงออกชัดเจนอยู่แล้ว

“ก็ได้ค่ะ แต่พิตต้าไม่รับปากว่าทุกอย่างจะเป็นตามที่อาหวัง เพราะคุณธีร์ดีเกินกว่าที่พิตต้าจะหลอกว่ารักได้”

“ได้สิ...ขอบใจมากนะหลานรัก อาเชื่อว่าหนูต้องทำได้” คนสาวเบือนหน้าหนีหลบซ่อนหยดน้ำใสจากความเจ็บปวดใจ ที่เธอรับปากนั้นเพราะสงสารผู้มีพระคุณเสียงร่ำไห้และอาการคร่ำครวญใจแทบขาดทำให้เธอรู้สึกหัวใจหวิวหวั่นราวกับมันจะหยุดเต้น

“คิดดูสิจ๊ะ คนที่ดีแสนดีอย่างคุณธีร์ อาจะยอมให้ผู้หญิงที่ไม่ดีมาวุ่นวายได้ยังไง”

“แต่อาโด่งไม่มีสิทธิ์จะไปกฎเกณฑ์อะไรเรื่องนี้นะคะ...หรือว่าที่ห่วงคุณธีร์เพราะอารักเค้า” ดนุพรหลบสายตาหลานสาวทันที ปากที่เม้มแน่นขึ้นจนเป็นรอยแดง

“ว่ายังไงคะอา รักคุณธีร์ใช่ไหม” หล่อนกล้าจะเอ่ยตอบหลานสาว สิ่งที่ทำได้คือพยักหน้ารับช้าๆ

“โธ่ อาโด่งคะ เรื่องมันไม่บานปลายไปหน่อยเหรอ”

“เอาน่าตกลงตามนั้นแล้วกัน อาเชื่อว่าพรุ่งนี้มันต้องดีกว่าอยู่แล้ว”

“ก็ได้ค่ะ”

“ดึกแล้วค่ะ ไปนอนเถอะ...ดูสิตาบวมหมดแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้คนอื่นเค้าจะสงสัยเอานะคะ”

“ก็ได้จ๊ะ...อาขอบใจจริงๆ หลานสาวที่น่ารักของอา”

“พิตต้าต้องตอบแทนพระคุณของอาโด่งสิคะ”

“โธ่ หลานอา ไม่เอาแล้ว เข้าไปข้างในกันเถอะ” มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำตาอีกครั้ง ดวงตาแดงกล่ำมองอย่างซาบซึ้งใจ แต่หล่อนคงไม่รับรู้ความหนักอึ้งในจิตใจหลานสาว สิ่งที่ได้รับรู้มันบีบหัวใจดวงเล็กจนแทบแตกสลาย ร่างบางยืนมองฟ้าที่มืดหม่นอย่างคนไร้เรี่ยวแรง เธอพยายามฝืนกลั้นกลืนน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา พิยะตาหันมองคนที่เดินเข้าไปด้านในเล็กน้อยก่อนจะเดินตามเข้าไป

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทัณฑ์นางโลม