“ส่งไปอีก!”
จวินจิ่วชิงตะโกนขึ้นด้วยเสียงต่ำ!
ภายในห้องปกคลุมด้วยความเงียบอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปสักพัก จวินจิ่วชิงก็กวาดสายตามองจดหมายที่อยู่บนโต๊ะ ก่อนจะหยิบพวกมันขึ้นมา แล้วเดินออกจากห้องไป
เขายังไม่ทันเดินถึงหน้าประตู แต่ความว่างเปล่าด้านหน้าของเขาก็บิดเบี้ยว เกิดเป็นระลอกคลื่นขึ้น
วินาทีถัดมา เขาก็โบกมือขึ้น รอยแยกสีดำของมิติจึงปรากฏขึ้น
สีหน้าของเขาเย็นชา จากนั้นก็สาวเท้าก้าวเข้าไป
ลมพัดม้วนเข้าที่ชายเสื้อของเขา เงาร่างนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย
…
สุสานสังหารเทพอยู่ห่างจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงมาก อีกทั้งระหว่างสองสถานที่นี้ก็ไม่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายที่สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้โดยตรง
ยังดีที่ฝีมือตอนนี้ของฉู่หลิวเยว่และผู้อื่นไม่ได้อ่อนแอ หากพวกเขาเดินทางเต็มกำลัง ไม่มีทางล่าช้าเกินไปแน่นอน
กอปรกับซั่งกวนจิ้งเคยเดินทางไปที่สุสานสังหารเทพมาก่อนแล้ว ระหว่างทางจึงสามารถหลีกเลี่ยงทางอ้อมได้เป็นจำนวนมาก
หลังจากเดินทางมาหนึ่งวันหนึ่งคืน เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงกลางเทือกเขาที่ทอดยาว ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจหยุดพักอยู่ครู่หนึ่ง
ยาค่ำคืนคืบคลาน ดวงจันทร์เต็มดวงแขวนขึ้นบนท้องฟ้า
ยอดเขาดำมืดอยู่ท่ามกลางราตรี ลายเส้นขุนเขาคดเคี้ยวลดเลี้ยว
พวกเขาทั้งหลายพบพื้นที่ราบเรียบบริเวณตีนเขา เอาไว้ใช้สำหรับพักผ่อน
เปลวเพลิงพุ่งทะยาน ทำให้เงาร่างของคนทั้งหลายทอดยาวออกไป
ฉู่หลิวเยว่นั่งขัดสมาธิ มือทั้งสองข้างวางไว้ที่หัวเข่า ให้ความสนใจเพียงแค่การดูดกลืนพลังแห่งสวรรค์และโลก
แม้ว่าตอนนี้นางจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับสูงแล้ว แต่การที่วิ่งมาตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืน พลังภายในร่างกายก็ลดน้อยลงไป ดังนั้นจึงจำเป็นต้องโคจรให้ดี
ถวนจื่อนอนเอนกายอยู่ข้างตัวของนาง ท่าทางหลับลึกไปแล้ว
เดิมทีฉู่หลิวเยว่อยากจะให้ถวนจื่อเข้าไปอยู่ในร่างกายของนาง แบบนั้นคงสะดวกมากกว่า
แต่ถวนจื่อเพิ่งจะกลายร่างเป็นมนุษย์ มีความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโลกภายนอกเป็นอย่างมาก
ฉู่หลิวเยว่จึงปล่อยให้นางออกมา
จนกระทั่งตอนนี้ ร่างกายเล็กๆ ก็ไม่สามารถทนรับไหว ทันทีที่หยุดพักนางก็ผล็อยหลับไป
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วสถานการณ์ของหรงซิวและซั่งกวนจิ้งกลับดูดีกว่ามาก
หลังจากทั้งสองคนปรึกษากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซั่งกวนจิ้งก็เฝ้ายามในช่วงครึ่งคืนแรก จากนั้นเป็นหรงซิวที่เฝ้ายามในครึ่งคืนหลัง
แต่ว่าหรงซิวกลับไม่ได้ไปพักผ่อน เขาหยิบหินทรงกลมขนาดเท่ากำปั้นขึ้นมาขัดแทน
หินก้อนนั้นเป็นหินสีดำเข้มที่ไม่อาจทำให้สีจางลงได้ เมื่อสะท้อนเข้ากับเปลวเพลิง คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีความแวววาวอยู่เลย เหมือนกับถูกรอบข้างกลืนกินแสงสว่างออกไปอย่างไร้เสียงแล้ว
ในตอนนั้นเองกลับมีรัศมีที่เฉียบคมแผ่กระจายออกมาหลายส่วน
ยิ่งหรงซิวขัดมันมากขึ้น สีดำที่อยู่ชั้นนอกของหินก็ค่อยๆ จางหายไป แสงสีทองปรากฏขึ้นแทนที่
เดิมทีซั่งกวนจิ้งก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ เพราะเขารู้ตั้งนานแล้วว่าหรงซิวเป็นช่างหลอมอาวุธเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังมีฝีมือและพรสวรรค์ไม่เลว การขัดหินนั้น สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องปกติอย่างมาก
แต่เมื่อแสงสีทองส่องประกายออกมาจากหิน ในที่สุดก็สามารถดึงดูดความสนใจของซั่งกวนจิ้งได้แล้ว!
เขาจ้องมองหินก้อนนั้นอยู่สักพักด้วยความไม่แน่ใจ จากนั้นก็ถามขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจว่า
“นี่มัน…หินจิตวิญญาณสุวรรณกาฬ?”
การเคลื่อนไหวของหรงซิวยังไม่หยุดนิ่ง แต่เขาก็พยักหน้าเบาๆ
“ผู้อาวุโสซั่งกวนสายตาเฉียบแหลมเป็นอย่างมาก”
ซั่งกวนจิ้งลอบตกใจ
เขาเป็นปรมาจารย์หลอมอาวุธ ต้องรู้อย่างแน่นอนว่าหินจิตวิญญาณสุวรรณกาฬล้ำค่ามากเพียงใด
ของชิ้นนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก และยังสามารถหล่อเลี้ยงพลังปราณดั้งเดิมได้
อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้หินจิตวิญญาณสุวรรณกาฬหลอมขึ้นมานั้น มักมีระดับไม่ต่ำต้อย
ต้องบอกก่อนว่า ระดับของอาวุธศักดิ์สิทธิ์สักชิ้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับของผู้หลอมอาวุธเท่านั้น แต่คุณภาพของวัสดุอุปกรณ์ก็มีความสำคัญเป็นอย่างมาก
อย่างมากที่สุดของบางชนิดก็สามารถหลอมเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง แต่เพราะไม่สามารถดึงดูดพลังทัณฑ์สวรรค์ระดับอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งราชามาได้ และยิ่งไปกว่านั้นมันไม่สามารถต้านทานพลังทัณฑ์สวรรค์ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...