จักรพรรดินีได้แต่คร่ำครวญในใจ
สุดท้ายเรื่องนี้ก็ถูกเปิดเผยจนได้!
แม้ในใจจะตื่นตระหนกสุดขีด แต่ก็ยังอดทนต่อความเจ็บปวดบริเวณทรวงอก พลางเอ่ยขอร้องอ้อนวอน
“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันมิได้มีเจตนาอื่นเลย เพียงเพื่อ…เพื่อความปลอดภัยเท่านั้น! หลายปีที่ผ่านมานี้ มีแค่ซือเมิ้งคนเดียวที่…”
“เจ้ายังมีหน้ามาแก้ตัวอีกหรือ!”
จักรพรรดิจยาเหวินโกรธจัด ราวกับมีเปลวไฟลุกโชนในดวงตาของเขา!
จักรพรรดินีตกใจมาก
เพราะจักรพรรดิจยาเหวินไม่เคยโกรธนางเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้มาก่อน
และมันทำให้นางได้รู้ว่า เหตุการณ์นี้กระทบกระเทือนจิตใจของจักรพรรดิจยาเหวินอย่างมาก
มันไม่สำคัญว่าจะมีหนึ่งคนหรือสิบคน แต่ประเด็นสำคัญคือ การมีตัวตนของซือเมิ้งนั้นถูกปกปิดเป็นความลับ ไม่ให้จักรพรรดิจยาเหวินรับรู้
นี่เทียบเท่ากับการตบหน้าจักรพรรดิจยาเหวิน และองครักษ์ทั้งหมดภายในวังฉาดใหญ่เลยทีเดียว!
“พูดมา! เจ้ากบฏนั่นกับหรงเจินอยู่ที่ใด!”
จักรพรรดินีร้องไห้ พลางส่ายศีรษะ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ทราบจริงๆ เพคะ ซือเมิ้งเสียชีวิตเมื่อสองสามวันก่อน ส่วนเจินเจินนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พบนางเลยเพคะ…”
จักรพรรดิจยาเหวินจ้องอีกฝ่ายอย่างโกรธเคือง พลางเย้ยหยัน
“เสียชีวิตหรือ? ประจวบเหมาะเกินไปหน่อยหรือเปล่า?”
“เรื่องจริงนะเพคะ! หม่อมฉันติดต่อกับเขามาตลอด แต่จู่ๆ สองสามวันก่อนการสื่อสารก็ถูกตัดขาด เขาตายไปแล้วจริงๆ นะเพคะ! ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้พูดปดต่อท่าน!”
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของจักรพรรดินี จักรพรรดิจยาเหวินก็เริ่มเชื่อขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าความโกรธในใจของเขาไม่ได้ลดลงเลย
“มันจะเป็นหรือตายค่อยว่ากันทีหลัง ตอนนี้ข้าอยากรู้ว่าหรงเจินอยู่ที่ใด!”
จักรพรรดินีร้องห่มร้องไห้ โศกเศร้ายิ่งกว่าเดิม
“ฝ่าบาทเพคะ ความจริงแล้วสองสามวันมานี้ หม่อมฉันแอบส่งคนในออกไปตามหาหรงเจินอย่างลับๆ แต่…แต่ว่าก็ไม่พบเบาะแสใดใดเลย…หม่อมฉันวิตกกังวลเหลือเกิน ผ่านมาสามวันสามคืนแล้ว หม่อมฉันไม่เป็นอัน…”
จักรพรรดิจยาเหวินหมดความอดทนและตบนางอีกครั้ง
“หากเจ้าจะเป็นจะตายจริงๆ เจ้าคงบอกข้าตั้งนานแล้ว! หากวันนี้ข้าไม่ค้นพบความจริงด้วยตนเอง แล้วเจ้าคิดจะปิดบังข้าไปอีกนานเท่าใด!? เจ้าเป็นถึงจักรพรรดินี อีกทั้งลูกชายยังได้เป็นถึงองค์รัชทายาท แค่นี้เจ้ายังไม่พอใจอีกหรือ!”
จักรพรรดินีคุกเข่าลงบนพื้น ผมเผ้ากระเซิง เสื้อผ้าของนางสกปรก ยิ่งมองก็ยิ่งน่าอับอาย
ขันทีหมินยืนอยู่ข้างหลังจักรพรรดิจยาเหวินเขาตกใจสุดขีด เมื่อเห็นฉากนี้
เขาปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาทมาหลายปีแล้ว และไม่เคยเห็นฝ่าบาทลงไม้ลงมือกับจักรพรรดินีเลย กระทั่งวันนี้แหละ ที่เขาได้เห็นเต็มๆ ตาว่าฝ่าบาททรงกริ้วมากเพียงใด
เขาเองยังไม่กล้าเอ่ยปากออกไปเลย
การที่จักรพรรดินีเก็บซ่อนเรื่องหรงเจินไว้นั้นยังพอทำใจได้ ทว่าการแอบเลี้ยงต้อยองครักษ์ไว้เป็นการส่วนตัว โดยไม่ให้ฝ่าบาทรู้นี่สิ ไม่ใช่ว่าการกระทำเช่นนี้ ชี้ชัดให้เห็นว่านางกำลังก่อความขัดแย้งกับฝ่าบาทอยู่หรอกหรือ?
ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย บัลลังก์ของจักรพรรดินีจักต้องสั่นคลอนแน่นอน!
“ทหาร! นำตัวจักรพรรดินีลงไป! แล้วรีบส่งตัวซือเย่จือเข้าวังทันที!”
เขาต้องการถามซือเย่จือว่า ตระกูลซือต้องการก่อกบฏใช่หรือไม่!
จักรพรรดินีเงยหน้าขึ้นทันที ใบหน้างดงามนั่นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
นี่มัน หมายความว่าฝ่าบาทกำลังจะกักขังนางหรือ
เมื่อข่าวแพร่ออกไป นางผู้เป็นจักรพรรดินี จะไม่สามารถครองบัลลังก์นี้ได้อีก
“ฝ่าบาทเพคะ! ฝ่าบาท! เห็นแก่หม่อมฉันที่รับใช้ฝ่าบาทมาหลายปี ได้โปรดช่วยปล่อยหม่อมฉันไปสักครั้งเถอะเพคะ! ยังมีหรงจิ้นอีก หรงจิ้นไงเพคะ! หากฝ่าบาทต้องการลงโทษหม่อมฉันเช่นไร หม่อมฉันยอมรับหมด ทว่าหากคนทางแคว้นซิงหลัวรู้เรื่องนี้เข้า ย่อมส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ต่อการสมรสระหว่างสองฝ่ายเป็นแน่เพคะ!”
ประโยคหลังทำเอาจักรพรรดิจยาเหวินหวั่นใจเล็กน้อย
ใช่แล้ว
ตอนนี้หรงจิ้นอยู่ที่แคว้นซิงหลัว หากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี การแต่งงานระหว่างเขากับซือถูซิงเฉินจะถือเป็นอันสำเร็จ
แต่ถ้าเรื่องอื้อฉาวนี่ แพร่งพรายออกไปยามนี้…
เขาจ้องไปยังจักรพรรดินีด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยโทสะ ส่วนจักรพรรดินีก็สบตาเขาอย่างรู้สึกผิด
“ซือฮุ่ยจิ้ง เจ้านี่หัวหมอจริงๆ!”
นางคงคิดแผนนี้ไว้นานแล้ว และจงใจปั้นให้หรงจิ้นเป็นโล่ใบสุดท้ายของนาง
เขารู้ทันทีว่านางขุดหลุมพรางไว้ เพื่อให้เขากระโดดลงไปอย่างจำยอม!
ริมฝีปากซีดเผือดของจักรพรรดินีสั่นระริก พลันเบนสายตาไปทางอื่น ไม่กล้าสบตาจักรพรรดิจยาเหวิน และไม่กล้าเอื้อนเอ่ยคำใดออกไป
หากว่าตามข่าวลือแล้ว ได้ยินว่าช่วงนี้องค์ชายแห่งแคว้นเย่าเฉินมีชื่อเสียงไม่ดีเท่าใด
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ผู้อาวุโสจงเยี่ยซึ่งเพิ่งกลับมาจากเทียนชานหมิงเยว่ กลับยกย่องหรงจิ้นอย่างออกหน้าออกตา
ด้วยการออกหน้ารับของเขา แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าคัดค้านสักคน
ข้อเสนอการสมรสเสร็จสมบูรณ์แล้ว
หรงจิ้นถูกต้อนรับจากผู้คนรอบกายด้วยความครื้นเครง และเขาก็พอใจมาก เมื่อมองไปยังแววตาอิจฉาริษยาของคนที่มองมาที่เขา เขารู้สึกว่าในที่สุดเขาก็มีทางออกสำหรับความทุกข์ทรมาน ที่เขาได้รับเมื่อไม่นานมานี้
ใบหน้าหล่อเหลาแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับชูจอกเหล้าให้ซือถูซิงเฉินที่นั่งอยู่ไม่ไกล
ซือถูซิงเฉินยิ้มพลางพยักหน้าเบาๆ อย่างสง่างามและอ่อนโยน
หรงจิ้นเลิกคิ้วและพ่นลมหายใจออก
นางเป็นของเขา ในที่สุดก็กลายเป็นของเขาแล้ว!
ทันใดนั้น สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลันหันไปยิ้มให้คนรอบข้าง
“ข้าเวียนหัวนิดหน่อย ขอตัวออกไปสูดอากาศก่อน”
ทุกคนคิดว่าเขากำลังหาทางหนีทีไล่ ไม่อยากชนแก้วต่อ จึงพากันหัวเราะอย่างขบขัน แต่ก็ไม่รั้งเขาไว้
หรงจิ้นรีบออกจากห้องโถงจัดเลี้ยงอย่างว่องไว
ซือถูซิงเฉินหรี่ตา จากนั้นก็ยืนขึ้นและเดินตามออกไปนอกห้องโถงเช่นกัน
หรงจิ้นเดินไปยังจุดอับที่อยู่ไกลออกไป แล้วหยิบกระดิ่งหนึ่งคู่ออกมาจากแขนเสื้อ
กระดิ่งคู่นั้นกำลังสั่นไหว และเกิดเสียงกรุ้งกริ้งเบาๆ
ทว่าสีหน้าของหรงจิ้นกลับงอง้ำจนดูไม่ได้
ก่อนที่เขาจะจากมา เขาแอบเก็บกระดิ่งคู่นี้ไว้เป็นพิเศษ ถ้าเรื่องของหรงเจินถูกเปิดเผย ท่านแม่ของเขาจะเขย่ามัน
นี่มัน หมายความว่าเกิดเรื่องขึ้นกับท่านแม่อย่างนั้นหรือ!?
“องค์ชาย”
เสียงอันนุ่มนวลของใครบางคนดังขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...