เชียงหว่านโจวชะงัก
“ข้าก็ทำเช่นนี้มาโดยตลอด”
มาโดยตลอดหรือ?
จากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็เข้าใจในทันที
“เมื่อก่อนเวลาที่เจ้าอยู่กับคนๆ นั้น เจ้าก็ทำเช่นนี้สินะ? แล้วนางผู้นั้นเองก็…ชอบทำอันใดแบบนี้?”
เชียงหว่านโจวส่งเสียง “อือ” ตอบกลับเบาๆ
ฉู่หลิวเยว่พลันขมวดคิ้ว
คนที่ชอบเล่นหมากรุกไปพร้อมๆ กับดื่มชานั้นมีอยู่มากมาย
แต่ทว่า น้อยคนนักที่จะชอบวางชาขิงไว้ข้างขอบกระดานหมากรุกเช่นนี้
อย่างน้อยในหมู่คนที่ฉู่หลิวเยว่รู้จัก นอกจากตัวนางเองแล้ว ก็ไม่เคยเห็นใครทำแบบนี้มาก่อน
“จะพูดอย่างใดดี ดูบังเอิญจังเลยนะ”
คนผู้นั้นมีนามว่า “เยว่” และนางเองก็ชื่อ “เยว่”
คนผู้นั้นชอบวางชาขิงไว้ข้างกระดานหมากรุก และนางเองก็ชอบทำเช่นกัน
ราวกับนางมีชะตากรรมร่วมกับเชียงหว่านโจวอย่างนั้นแหละ
ฉู่หลิวเยว่ถูถ้วยน้ำชาในมือของตน
น้ำชาในถ้วยยังร้อนอยู่ มีควันสีขาวลอยม้วนตัวขึ้น พร้อมความขมจางๆ ที่สัมผัสได้จากความฉุนของขิง ซึ่งให้ความสดชื่นเป็นพิเศษ
ทันใดนั้น นางก็เริ่มสงสัยเกี่ยวกับบุคคลนั้น
หากคนผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่…นางก็อยากจะลองเจออีกฝ่ายซึ่งๆ หน้าสักครั้ง
เชียงหว่านโจวใจลอย อย่างกับกำลังคิดอันใดอยู่
กระทั่งฉู่หลิวเยว่เรียกเขาสองครั้ง เขาถึงได้สติคืนมา
“อันใด?”
ฉู่หลิวเยว่ตอบกลับ
“ข้าบอกว่า วันนี้เราจะพักผ่อนกันก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยเดินทางไปที่ชงซูเก๋อ”
อวี้ฉือซงกลับไปตั้งนานแล้ว แต่ก็ฝากให้เย่หรานหร่านอยู่ดูแลพวกเขา
ดังนั้นคืนนี้เย่หรานหร่านเองก็จะพักอยู่ที่นี่เช่นกัน
แม้ว่าจวนหลังนี้จะเล็กกว่าจวนมู่ แต่หากพักอยู่เพียงไม่กี่คน ก็สามารถอยู่กันได้อย่างสบายๆ
เย่หรานหร่านขอตัวไปพักผ่อนอย่างไว
แต่เชียงหว่านโจวยังมีบางสิ่งที่เขาต้องการจะพูด และยังยืนอยู่ที่เดิม
ฉู่หลิวเยว่จึงเดินเข้าไป พลางถามด้วยรอยยิ้ม
“มีอันใดจะถาม ก็ถามมาได้เลย”
เชียงหว่านโจวยืนหันหลังให้กับประตู แสงระเรื่อสาดส่องลงบนเส้นผมสีบลอนด์อ่อนๆ ของเขา จนหัวกลมๆ นั่นดูเป็นประกายเจิดจ้า แม้แต่หูของเขาเองก็ดูเหมือนจะโปร่งใส รวมทั้งแก้มเนียน ที่ดูละเอียดอ่อนยามถูกไล้ด้วยแสงไฟจากภายนอก
อย่างใดก็ตาม ใบหน้าของเขาถูกซ่อนอยู่ในเงามืด และเพราะความกึ่งสว่างและกึ่งมืดนี้ จึงทำให้คนที่มองอยู่เห็นสีหน้าของเขาได้ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร
มีเพียงดวงตาที่ฉายแสงลึกลับและคลุมเครือคู่นั้น ที่เปล่งประกายท่ามกลางความมืด
หลังจากเงียบไปนาน เขาก็ถามเบาๆ
“เมื่อก่อนเจ้าเคยไปแถวชายแดนทางใต้หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหัว
“ไม่เคย”
แสงนัยน์ตาของเชียงหว่านโจวดับลง เสมือนเทียนที่มอดดับ
หัวใจของฉู่หลิวเยว่ดิ่งจมลงอย่างไม่มีเหตุผล ราวกับว่านางถูกกดดันอย่างหนักจากบางสิ่งบางอย่าง
“ข้าเข้าใจแล้ว”
พูดจบเชียงหว่านโจวก็หมุนตัวเตรียมเดินออกไป
ทว่าในขณะที่ก้าวขาออกไปข้างหนึ่ง จู่ๆ เขาก็หยุดฝีเท้าลง
“เจ้าว่า นางจะลืมข้าไปแล้วหรือเปล่า?”
เสียงของเขาเบาหวิวอย่างกับสายลม
ไม่มีน้ำเสียงที่เย็นชาและแข็งกร้าวเหมือนปกติ และไร้ซึ่งน้ำเสียงที่ดื้อรั้นเฉกเช่นในอดีต
ณ ตอนนี้เชียงหว่านโจวดูสิ้นหวังราวกับเด็กน้อยที่กำลังหลงทาง
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองแผ่นหลังของอีกฝ่าย
ร่างที่ผอมแห้งเกินมาตรฐานของเด็กชาย ถูกซ่อนอยู่ในเสื้อผ้าที่หลวมโพรกและพลิ้วไหวไปมา เนื่องจากขนาดที่ใหญ่เกินตัว
กระแสแห่งความเหงาที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ในใจ เล็ดลอดออกมาจากตัวเขา และห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างใด?”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยเสียงแผ่ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...