“เจ้าหมายถึง…เกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดงหรือ?”
ซั่งกวนหว่านขมวดคิ้วเรียวขึ้น
“ของสิ่งนั้นนับว่าไม่เลว แต่มันถูกเก็บไว้ตำหนักเจาเยว่ (ตำหนักส่องจันทร์) มาโดยตลอด…อีกทั้งคนทั้งซีหลิงต่างก็รู้ว่า นั่นเป็นของซั่งกวนเยว่หากข้านำมันออกไป…”
“คนผู้นั้นจากไปแล้ว หากเก็บสมบัติศักดิ์สิทธิ์เอาไว้เฉยๆ มันก็จะไม่เกิดประโยชน์ หากฝ่าบาทสามารถนำมาใช้และคุ้มครองพระองค์ได้ นั่นสิถือว่าเป็นการใช้ประโยชน์สูงสุดแล้ว”
ฉานอี้ดูเหมือนไม่สนใจ และพูดโน้มน้าวขึ้น
“ตอนนี้ท่านมีกำลังพลมากกว่าหมื่นคนแล้ว แล้วอีกอย่างอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าท่านจะมีงานมหามงคลสมรสอย่างเป็นทางการแล้ว ใต้โลกหล้านี้ไม่มีใครเหมาะจะเป็นนายคนใหม่ของเกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดงเท่าท่านอีกแล้ว”
สิ่งที่นางพูดทำให้ซั่งกวนหว่านประทับใจอย่างมาก
เกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดงมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน
ในตอนที่ซั่งกวนเยว่เพิ่งผ่านวัยปักปิ่น นางก็นำทหารม้าทมิฬออกลาดตระเวนตามชายแดน
ระหว่างทางนั้นเองนางได้เข้าไปในสนามรบโบราณอย่างไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นก็ได้รับชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดงตัวนี้มา
ต่อมานางสวมมันต่อหน้าธารกำนัลเพียงครั้งเดียว นั่นคือการปราบกบฏครั้งสุดท้ายที่แดนภังคะ
ลือกันว่าหากนางสวมเกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดงแล้ว นางสามารถสู้กับจอมยุทธระดับแปดสามคน สุดท้ายก็ยังฆ่าตัดคอพวกเขาทั้งสามคนได้อีกด้วย!
ในตอนนั้นเองเกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดงก็โด่งดังมีชื่อเสียงขึ้นมา
ซั่งกวนเยว่เป็นองค์หญิงใหญ่ที่ฟ้าลิขิต พบเห็นสมบัติล้ำค่าไม่รู้มากน้อย แต่เกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดงจะต้องเป็นอาวุธโบราณสามอันดับแรกที่นางเลือกอย่างแน่นอน
เห็นได้ชัดว่ามันสุดยอดมาก
แน่นอนว่าซั่งกวนหว่านก็เคยถูกของเช่นนี้ล่อลวง แม้แต่ตอนที่นางเพิ่งจัดการซั่งกวนเยว่ได้แรกๆ นางก็เคยคิดว่าจะนำเกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดงนี่มาเป็นของตนเอง
แต่หลังจากนั้นชีพจรของนางกลับถูกเผาไหม้ ไม่สามารถฟื้นกลับคืนมาได้เหมือนเดิม นางจึงต้องโยนความคิดนี้ทิ้งไปด้านหลัง
ตอนนี้เมื่อฉานอี้พูดเรื่องนี้ขึ้นมา จึงทำให้นางจำได้ทันที
“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล…”
ซั่งกวนหว่านหรี่ตา ในใจก็มีความคิดร้อยแปดพันเก้าผุดขึ้นมา
“ไปตอนนี้เลย!”
…
ตำหนักเจาเยว่
ที่นี่เคยเป็นสถานที่ที่มีเกียรติที่สุดในวังหลวง รองลงมาจากตำหนักเฉียน ตำหนักที่ประทับของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน
เพราะที่นี่เคยเป็นที่ประทับขององค์หญิงใหญ่
ความหรูหราและผู้คนที่เคยพลุกพล่านก็ได้หายไป ตอนนี้ตำหนักเจาเยว่กลายเป็นสถานที่ที่โดดเดี่ยวและรกร้างอย่างมาก
นอกจากองครักษ์ที่ถูกส่งให้เฝ้าที่ตำหนักนี้ ก็แทบจะไม่มีใครมาที่นี่เลย
เพราะว่าองค์หญิงใหญ่ธาตุไฟเข้าแทรกและสิ้นพระชนม์ไป พูดไปก็ไม่ค่อยน่าฟังเท่าไร กอปรกับอำนาจทั้งหมดตอนนี้อยู่ในมือขององค์หญิงสาม ดังนั้นจึงมีคนพูดเรื่องนี้น้อยมาก
แม้ว่าในสายตาของคนทั้งโลกจะเห็นว่าองค์หญิงสามและองค์หญิงใหญ่สนิทกันมาก
แต่คนที่อยู่ในวังหลวงมานาน ที่มีความคิดก็สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยาก
ดังนั้นตอนที่ซั่งกวนหว่านมาถึงคนที่อยู่ในตำหนักเจาเยว่จึงตกใจกันเป็นอย่างมาก
“องค์หญิงสามทรงพระเจริญพันปี พันๆ ปี”
ซั่งกวนหว่านโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็เดินเข้าตำหนัก และเดินตรงเข้าไปในห้องบรรทม
“ข้าแค่จะเข้ามาดูเฉยๆ พวกเจ้ามีเรื่องอันใดไปทำก็ไปทำเถอะ”
หลังจากทุกคนขานรับอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาก็รอจนซั่งกวนหว่านเดินเข้าห้องบรรทมไปแล้ว พวกเขาก็ลอบสบสายตา จากนั้นก็เดินแยกย้ายไป
ตั้งแต่องค์หญิงใหญ่จากไป องค์หญิงสามมาที่นี่เพียงไม่กี่ครั้ง นางมาพร้อมแววตาตาแดงก่ำ
หนึ่งปีที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยได้มาที่นี่เท่าไร
ส่วนวันนี้ที่มาอย่างกะทันหันก็ทำให้รู้สึกแปลกประหลาดใจจริงๆ
แต่ไม่ว่าอย่างใดพวกเขาก็จะต้องปรนนิบัติอย่างระมัดระวังอยู่ดี
…
ซั่งกวนหว่านเดินเข้าห้องบรรทมไป
เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครมาที่ห้องนี้นานแล้ว มีกลิ่นฝุ่นจางๆ ในอากาศ
เมื่อแสงแดดส่องเข้ามา ก็ทำให้เห็นฝุ่นที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ
ซั่งกวนหว่านขมวดคิ้วมุ่น หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูก ในใจรู้สึกทั้งโกรธทั้งน่าขัน
ใครจะไปคิดเล่าว่าตำหนักเจาเยว่ที่เคยงดงามที่สุด จะมีจุดตกต่ำเช่นนี้ได้อย่างใด?
หากเป็นเวลาปกติ นางจะรีบออกไปตำหนิบ่าวเพื่อแสดงความรักอันลึกซึ้งต่อพี่สาวอย่างแน่นอน
แต่วันนี้นางไม่มีอารมณ์และเกียจคร้านเกินกว่าจะทำเรื่องเช่นนั้นด้วย
นางเดินไปที่ข้างเตียงแล้วลูบมันด้วยความแผ่วเบา หลังจากสัมผัสถึงรอยขรุขระแล้ว นางก็ใช้นิ้วกดลงไป ตู้ไม้จันทน์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็เลื่อนออกทันที
เส้นทางลับสายหนึ่งปรากฏแก่สายตา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...