เมื่อกวาดตามองให้ทั่ว ก็จะเห็นว่าลำธารสายนี้ใสสะอาดมาก
แต่ถ้าเขยิบเข้าไปมองใกล้ๆ อย่างละเอียดแล้วล่ะก็ จะสามารถมองเห็นลำแสงสีรุ้งที่ส่องประกายอยู่ในน้ำ
เสมือนมีคนโรยผลึกสีรุ้งนับไม่ถ้วนลงไป ความแวววาวนั้นเจิดจรัสและงดงามหาที่เปรียบมิได้!
เมื่อเทียบกับฉากเมื่อครู่แล้ว ดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงราวกับคนละโลก
ฉู่หลิวเยว่ชำเลืองมองถวนจื่อที่อยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง
ถวนจื่อยืดอุ้งเท้าของมันแล้วชี้ไปข้างหน้า พลางสลับกลับมามองนางอย่างกระตือรือร้น
“เจ้าอยากให้พวกข้าไปที่ลำธารหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ถามอย่างลังเล
ถวนจื่อพยักหน้าอย่างลนลาน
จากนั้นฉู่หลิวเยว่จึงหันไปมองลำธารดังกล่าว
มันเป็นลำธารที่แคบมาก และฉู่หลิวเยว่สามารถก้าวข้ามมันได้ ด้วยการก้าวกระโดดเพียงครั้งเดียว
ดูเหมือนว่าสายน้ำเหล่านี้จะไหลออกมาจากส่วนลึกของป่า และไหลไปทางทิศเดียวกัน
ฉู่หลิวเยว่มองตามกระแสน้ำ พลันหรี่ตา
แหล่งที่มาของธารน้ำสายนี้ น่าจะเป็น…
กรร!
เสียงคำรามอันน่าตกใจดังขึ้นอีกครั้ง!
มันดังกระแทกหูเต็มๆ!
ซึ่งเมื่อเทียบกับเสียงคำรามสองสามครั้งก่อนหน้านี้ คราวนี้มันดังกังวานชัดเจนกว่ามาก
พูดอีกอย่างก็คือ…พวกเขาเข้าใกล้สัตว์อสูรระดับเก้าที่กำลังทะลวงขั้นพลังปราณแล้ว!
และเสียงนี้ทำให้ฉู่หลิวเยว่มั่นใจว่า ธารน้ำสายนี้ไหลมาจากทิศทางที่มีสัตว์อสูรสถิตอยู่อย่างแน่นอน!
แม้แต่สีสันในลำธารก็เกี่ยวข้องกับสัตว์อสูรตัวนั้นด้วย!
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ยกเท้าขึ้นแล้วเดินไปข้างหน้า
เชียงหว่านโจวและเหล่าพวกพ้องจึงเดินตามนางไปเงียบๆ
และกลายเป็นว่าฉู่หลิวเยว่ได้กลายเป็นหัวหน้ากลุ่มโดยไม่รู้ตัว
ราวกับว่าขอแค่มีนางอยู่ พวกเขาย่อมขจัดได้ทุกปัญหา
บนโลกใบนี้มักจะมีคนอยู่ประเภทหนึ่ง ที่สามารถกลายเป็นคนที่เจิดจรัสและสำคัญที่สุดได้เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม
และฉู่หลิวเยว่ก็คือคนคนนั้น
แม้ว่าที่แห่งนี้เต็มไปด้วยอันตรายก็ตาม แต่พวกเขาก็ยินยอมพร้อมใจตามนางไป
…
กลุ่มคนเดินเลียบไปตามลำธาร และค่อยๆ เดินหายเข้าไปในส่วนลึกของผืนป่า
ทว่ายิ่งเดินเข้าไปมากเท่าไหร่ กระแสน้ำก็ยิ่งไหลแรงมากขึ้นเท่านั้น และแสงสีสันสดใสภายในก็เข้มข้นขึ้นด้วย
สีของลำธารเปลี่ยนไปทีละน้อย
ฉู่หลิวเยว่ย้ำเท้าต่อไป พลางจ้องมองธารน้ำแล้วคิดในใจว่า
พลังที่แฝงอยู่ในลำธารนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนั่นทำให้นางอยากรู้เกี่ยวกับสิ่งที่อยู่เหนือลำธารนี้มากขึ้น
แต่ตลอดทางที่เดินมานั้นช่างเงียบสงัด
หากตั้งใจฟังให้ดี ก็จะได้ยินเพียงเสียงกรอบแกรบของฝีเท้ามนุษย์อย่างพวกเขา ที่กำลังเดินผ่านป่า เสียงใบไม้ พัดปลิว และเสียงน้ำไหลเท่านั้น
นอกนั้นก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอื่นใด
“ไหนว่ารองแม่ทัพมู่บอกว่ามีสัตว์อสูรระดับสูงอาศัยอยู่ที่นี่มากมาย? ไฉนเดินมาตั้งนานแล้ว พวกเรากลับยังไม่เห็นเลยสักตัว?”
ความกลัวในใจของเย่หรานหร่านค่อยๆ หายไป และกลายเป็นความสงสัยที่เข้ามาแทนที่
“อย่าว่าแต่พวกระดับสูงเลย แค่ระดับลูกกระจ๊อก ข้ายังไม่เห็นแม้แต่เงา”
ความจริงแล้วฉู่หลิวเยว่เองก็รู้สึกแปลกๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน
สมัยก่อนตอนที่นางเข้ามาในป่าหมอกมายา มีสัตว์อสูรนานาชนิดอาศัยอยู่อย่างล้นหลาม
แม้ในตอนกลางคืนที่อายพิศม์แผ่กระจายไปทั่ว ก็ยังได้ยินเสียงกรอบแกรบของพวกมันดังอยู่เป็นระลอก
ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณการมีตัวตนของพวกสัตว์อสูร
ทว่าปัจจุบัน ผืนป่าแห่งนี้กลับเงียบผิดปกติมาก
และถึงจะเป็นเพราะการทะลวงพลังปราณของสัตว์อสูรระดับเก้าจริงๆ แต่มันก็ควรจะส่งผลให้สัตว์อสูรที่เหลือหนีหายเงียบไปทุกตัวเช่นนี้
ถ้าพูดตรงๆ เลยก็คือ ความเงียบนั้นเท่ากับ…ความตาย
ที่แห่งนี้แทบจะไม่มีลมปราณของสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่แล้ว
…เว้นเสียแต่ลำธารสายนั้น
แต่ในลำธารนั้นไม่มีอย่างอื่นปะปนอยู่ นอกเสียจากสีรุ้งที่เข้มข้นกว่าเดิม
“บางทีเดินไปเรื่อยๆ ก็อาจจะเจอสักตัว”
ฉู่หลิวเยว่ตอบกลับ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...