ในเมื่อฉู่หลิวเยว่ไม่ขยับ คนที่เหลือเองก็ไม่ขยับหนีเช่นกัน
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ
และเมื่อพี่เหลยสี่สังเกตเห็นความผิดปกติ คิ้วเข้มทั้งสองก็พลันขมวดเข้าหากันอีกครา
“อันใด? ไม่ได้ฟังที่ข้าพูดไปเมื่อครู่หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบาง พลางเอ่ยว่า
“ท่านพี่เหลย ท่านเองก็ตามพวกข้ามาตลอดทาง ย่อมรู้ดีว่าสาเหตุที่พวกข้ามาที่นี่ ก็เพื่อมาดูว่าเกิดอันใดขึ้นกับลำธารนี้… กว่าพวกข้าจะมาถึงที่นี่ได้นั้นไม่ง่ายเลย แต่ท่านกลับไล่เราเสียอย่างนั้น ข้าว่าเช่นนี้ดูไม่ค่อยเหมาะสมเสียเท่าไหร่นะ?”
พี่เหลยสี่หัวเราะออกมาราวได้ยินเรื่องตลก พลางจ้องมองพวกเขาราว เสมือนกำลังมองพวกเด็กแสบที่ชอบสร้างปัญหาไปเรื่อย
เขาเชิดคางขึ้น
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอยากเข้าไปในค่ายกลนั่น แต่ทว่า…พวกเจ้าไม่ได้ดูเลยหรือว่าที่นี่มันเป็นอย่างใด พวกเจ้าเก่งพอที่จะเข้าไปเชียวหรือ? ทำตัววางท่าอวดดีเช่นนี้ ช่างเขลาไม่ต่างจากลูกวัวแรกเกิดยั่วโมโหเสือร้ายเลยสักนิด! พวกเจ้าอยากจบชีวิตกันที่นี่หรือไร?”
ฉู่หลิวเยว่พยายามกล่าวอย่างสุภาพและจริงใจ
“ขอบคุณท่านพี่เหลย สำหรับคำเตือน ทว่าตลอดมาข้าคือคนที่ช่วยผู้อื่นไว้เสมอ แน่นอนว่าข้าย่อมไม่ทำอันใดที่เสี่ยงต่อชีวิตหรือรนหาที่ตายเป็นแน่ แต่ถ้าข้าทำ นั่นก็หมายความว่าข้ามั่นใจในฝีมือของตัวเองมากพอ”
“จองหอง!”
พี่เหลยสี่ตวาดด้วยความโมโห
“สุดท้ายพวกเจ้ามาที่นี่ก็เพราะสัตว์อสูรตัวนั้น! หรือจะพูดว่ามาเพื่อนำเลือดของสัตว์อสูรตนนั้นไปถวายซั่งกวนหว่านดีล่ะ!? อันใดๆ ก็เพื่อองค์หญิง…สับปลับสิ้นดี!”
คำพูดของเขาเต็มไปด้วยการดูถูกและความเกลียดชังที่มีต่อซั่งกวนหว่าน
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับชะงัก
พอได้ยินแบบนี้แล้ว…ดูเหมือนว่าพี่เหลยสี่จะมีความบาดหมางกับซั่งกวนหว่าน และดูเหมือนว่าเขาจะรู้เรื่องของนางดีด้วย…
แต่เมื่อพิจารณาจากรูปร่างหน้าตาแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนป่าที่อาศัยอยู่แต่ในป่า
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเมื่อก่อนเขาจะถูกซั่งกวนหว่านข่มเหง จนต้องหลบหนีมาอยู่ในป่าหมอกมายาแห่งนี้?
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้า
“ท่านพี่เหลย โปรดอย่าเข้าใจผิด พวกข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับซั่งกวนหว่าน และไม่สามารถทำตามความต้องการของนางได้ แต่คนที่ยินยอมทำเพื่อนางก็มี อย่างเช่นเจียงอวี่เฉิงและคนอื่นๆ แต่ก็ยกเว้นพวกของข้า”
และจู่ๆ พี่เหลยสี่ก็ทำทีนึกอันใดขึ้นมาได้ พลันเอ่ยถามอย่างลังเล
“เจียงอวี่เฉิงก็มาด้วยหรือ?”
เขาแค่นเอ่ยประโยคนั่น เสมือนกัดฟันกรอดขณะพยายามพูดออกมา
และทุกๆ คำที่หลุดออกมาจากไรฟันของเขา ล้วนเต็มไปด้วยความเกลียดชัง!
แทบจะเท่ากับตอนที่พูดถึงซั่งกวนหว่านเมื่อครู่เลย!
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
ไม่รู้ว่าเมื่อก่อนอีกฝ่ายกับอีกสองคนนั้นมีเรื่องบาดหมายอันใดกัน เขาถึงได้แสดงท่าทางเกลียดชังออกมาทันทีที่ได้ยินชื่อของคนพวกนั้น
“พูดตามตรง พวกข้าเพิ่งแยกจากพวกเขาเมื่อครู่ก่อน แต่พอหันกลับไป ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของพวกเขา…”
ทว่าฉู่หลิวเยว่ยังพูดไม่ทันจบ พี่เหลยสี่ก็หัวเราะร่าออกมา
“เป็นคนพวกนั้นนี่เอง! ฮ่าๆ! พวกเขาจริงๆ ด้วย!”
ตอนนั้นเขาเองก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของผืนป่ารอบด้าน แต่เขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก คิดไม่ถึงเลยว่า…จะเป็นพวกของซั่งกวนหว่านกับเจียงอวี่เฉิง!
นี่แหละที่เขาเรียกว่า สวรรค์มีตา!
ตอนนี้ถึงพวกนั้นจะยังไม่ตาย แต่ก็ไม่ต่างจากปางตาย!
เมื่อคิดถึงสิ่งที่พวกเขากำลังประสบอยู่ในเวลานี้ พี่เหลยสี่ก็อารมณ์ดีขึ้นทันตา เขายิ้มกว้างจนทั้งคิ้วทั้งดวงตาโค้งลงอย่างเห็นได้ชัด
“การที่พวกเจ้าหนีจากอายพิศม์และมาถึงที่นี่ได้นั้น แสดงว่าพวกเจ้ายังมีโอกาส แต่… ที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับพวกเจ้า! ถ้าพวกเจ้ายังไม่ยอมออกไป เช่นนั้นข้าส่งพวกเจ้าออกไปเอง! ตอบแทนที่นำข่าวสารดีๆ มาบอกข้า!”
เมื่อพูดจบพี่เหลยสี่ก็ดึงค้อนที่เหน็บไว้ตรงเอวออกมา
แต่ในขณะที่เขากำลังจะลงมือ เขาก็เห็นหญิงสาวฝั่งตรงข้ามหัวเราะออกมา จนคิ้วและดวงตาของนางโก่งโค้งลง
“ท่านพี่เหลย พวกข้าไม่เข้าไปแล้วก็ได้ แต่ทว่า โปรดให้พวกข้าอยู่ชื่นชมมันตรงนี้ได้หรือไม่? เพราะว่า…พวกข้าไม่เคยเห็นสัตว์อสูรระดับเก้าทะลวงขั้นพลังปราณมาก่อน ในใจเลยเกิดความสงสัยใคร่รู้ไม่จบ และท่านเองก็รู้ว่ากว่าจะมาถึงที่นี่ได้ พวกข้าลำบากกันมากเพียงใด…”
นางยิ้มอ้อนขอ พร้อมทำตาใสเสมือนมีธารดาราพร่างพราวอยู่ภายในดวงตากลมโตคู่นั้น
พี่เหลยสี่ชะงักไปทันที
ท่าทางแบบนี้ช่างเหมือนกับ…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...