อีกด้านหนึ่งของป่าหมอกมายา มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งลอบเข้ามาอย่างเงียบเชียบ
“ตั้งแต่ตอนนั้นมันก็นานมาแล้ว แต่เหตุใดป่าหมอกมายาถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?”
“มีคนมาที่นี่ก่อนเรา…หืม เหมือนจะเป็นมู่ชิงเห่อกับเจ้าเด็กนั่น และก็กองทัพทหารม้าทมิฬ นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายสิบชีวิตที่ไม่เคยเห็นหน้าคราตามาก่อน”
“เห้อ โชคร้ายจริงๆ ที่คนพวกนั้นมาที่นี่ แถมยังบังเอิญมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้อีก…เอ๊ะ เดี๋ยวนะ! เหตุใดไก่ฟ้าตัวนั้นหายไปล่ะ?”
“เหมือนข้าจะสัมผัสได้ถึงลมปราณของกษายะหางวายุ…ไก่ฟ้าตัวนั้นทะลวงได้สำเร็จแล้วหรือ?”
“จะเป็นไปได้อย่างใด? เจ้าไก่นั่นสูญเสียจิตวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งไปแล้ว…ช้าก่อน ข้างหน้ามีคนอยู่กี่คน?”
“เจ้าเด็กโง่สองคนนั้นยังอยู่อีกหรือ? แล้วไฉนถึงมีลูกกระจ๊อกมาเพิ่มได้เล่า?”
“…ดูเหมือนว่าไก่ฟ้านั่นจะทะลวงผ่านแล้วจริงๆ …แต่เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่านังหนูอยู่ใต้ดินกันนะ? หรือเพราะข้าแก่แล้ว หูตาเลยไม่ค่อยดีเท่าไร?”
“…เจ้าคิดถูกแล้ว นางอยู่ข้างล่าง แต่ก็…อยู่กับเจ้าสิ่งนั้นด้วย…”
ชายชราเป็นคนพูดประโยคนี้ออกมา
ทันทีที่พูดจบ อีกสองคนก็เงียบลงทันตา
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงเล็กเสมือนเด็กแรกเกิดก็ดังขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว
“ข้าบอกแล้วว่าให้ขุดเจ้าสิ่งนั้นขึ้นมาให้นาง! เอามันให้นางไปเลย! แต่พวกเจ้ากลับบอกยังไม่ถึงเวลา! แล้วตอนนี้เป็นไงเล่า นางถึงกับลงไปเองแล้ว! ถ้านังหนูนั่นเป็นอันใดไป รอดูข้าเด็ดหัวพวกเจ้าได้เลย!”
“การที่เด็กคนหนึ่งต้องการสิ่งของนั้นๆ ไม่ใช่เรื่องผิด แต่มันไม่ใช่วัตถุธรรมดา ถ้าให้นางไปตอนนั้น แน่นอนว่าจักต้องเกิดเรื่องวุ่นวายตามมา” น้ำเสียงที่ฟังดูไพเราะไร้ซึ่งน้ำโห เอ่ยพูดช้าๆ “แล้วใครกันที่บอกว่าจะสอนบทเรียนให้นังหนูนั่นเมื่อครู่ก่อน เพียงพริบตาก็ห่วงนางจนหันมาแยกเขี้ยวใส่พวกเราแล้ว…เหอะ พี่เป่า เจ้านี่ร้ายใช่เล่น”
“ไหนลองเรียกพี่เป่าอีกทีสิ!?”
“เช่นนั้น น้องเป่า?”
“ไอ้คนไร้สำนึก ตายเสียเถอะ!”
“พวกเจ้าช่วยไปทะเลาะกันไกลๆ ไม่ได้หรือ? มันรบกวนการเฝ้าดูนังหนูของข้า!”
“ไสหัวไป!”
“เจ้าสิไสหัวไป!”
…
ความวุ่นวายนี้ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของฉินอีและคนอื่นๆ
มวลอากาศเย็นยามราตรีปกคลุมลงมา
ตอนกลางวันและตอนกลางคืนของที่นี่ไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไร
เย่หรานหร่านกับมู่หงอวี่หลับไปแล้ว ส่วนเชียงหว่านโจวก็นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ พวกเขาโดยมีกระบี่เทพเมฆาสำริดวางพาดไว้บนเข่า
พี่เหลยสี่และฉินอีนั้นมีขั้นพลังปราณที่แกร่งกล้า จึงไม่จำเป็นต้องนอนหลับ เพียงแค่ปรับลมปราณสักนิด ก็สามารถฟื้นฟูจิตวิญญาณของพวกเขาได้แล้ว
ในขณะที่คอยคุ้มกันพวกของมู่หงอวี่ทั้งสามคน พวกเขาก็คอยมองไปยังต้นสนฉัตรที่เหี่ยวเฉาเป็นระยะ
ทันใดนั้น ก็มีเสียงลมดังออกมาจากในป่า
พลันกิ่งก้านของต้นแม่ก็หักแล้วหล่นลงพื้นจนเกิดเสียงดังไปทั่ว
พี่เหลยสี่กระเด้งตัวขึ้นมาทันที
“ใครกัน!?”
เขามองไปรอบๆ อย่างตื่นตระหนก แต่ก็ไม่เห็นใครปรากฏตัวออกมาเลย
ฉินอีถูหว่างคิ้วราวใช้ความคิด
“ก็แค่กิ่งไม้หัก มิใช่เรื่องใหญ่อันใด พี่สี่ เจ้าตื่นตระหนกเกินไปแล้ว”
พี่เหลยสี่หันมองตาม และเกาหัวด้วยความลำบากใจ
“เช่นนี้นี่เอง…ข้าก็คิดไปว่า…”
เขาถอนหายใจด้วยสีหน้าผิดหวัง
เมื่อครู่เขานึกว่าองค์หญิงใหญ่ออกมาได้แล้วเสียอีก
ฉินอีเองก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงองค์หญิงใหญ่เพียงใด พลันเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“เจ้าพักผ่อนเสียหน่อยเถิด”
แต่พี่เหลยสี่กลับส่ายหัวอย่างไม่ยินยอม
เมื่อเห็นท่าทางแน่วแน่ของเขา ฉินอีก็ไม่ได้พยายามเกลี้ยกล่อมเขาต่ออีก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...