แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง นิยาย บท 510

ซ่งฉงปิงได้ยินเช่นนั้น ขยิบตาอย่างทะเล้น "เสด็จพ่อไม่บอก แล้วทราบได้อย่างไรล่ะว่าข้าช่วยไม่ได้?"

เห็นท่าทีนี้ของซ่งฉงปิง ซ่งหยุนดาจึงกล่าวว่า "เป็นปัญหาเกี่ยวกับเสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าในสงคราม"

ได้ฟังเช่นนี้ ซ่งฉงปิงก็ตกใจ

ตอนนี้ระยะเวลาผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว สงครามระหว่างแคว้นซีหรงกับต้าชิ่งทางด้านนี้น่าจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

ว่ากันว่าเสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าต้องมาก่อน เนื่องจากสงครามเริ่มต้นขึ้นแล้ว เสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าควรจะส่งไปที่นั่นก่อนแล้วจึงจะถูกต้อง

นึกถึงตรงนี้แล้ว ซ่งฉงปิงจึงเอ่ยถามซ่งหยุนดาด้วยใบหน้าร้อนรนใจ "ระหว่างทางที่ข้ามาได้ยินว่าเกิดสงครามขึ้นแล้ว ว่ากันว่าเสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าต้องส่งถึงก่อนไม่ใช่หรือ? หรือว่าเหล่าทหารที่ชายแดนตอนนี้ขาดเสบียงอาหารกับหญ้าเลี้ยงม้าอยู่?"

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องสงครามกับเสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้า ซ่งหยุนดาก็มีสีหน้าหนักใจ

อย่างไรเสียซ่งหยุนดาก็เป็นราชาแห่งสงครามในสมัยนั้น เสบียงอาหารแหญ้าเลี้ยงม้ามีความหมายต่อทหารเพียงใด เขาทราบดี

เดิมทีเรื่องนี้ไม่ควรบอกกล่าวกับบุตรสาว แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่ร้อนรนใจของบุตรสาว ซ่งหยุนดาก็มองซ้ายมองขวา เห็นว่าไม่มีใคร ซ่งหยุนดาจึงกล่าวว่า "ฝ่าบาททรงให้เสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าแก่ทหารชายแดนเพียงเดือนเดียวเท่านั้น"

ได้ยินเช่นนั้น ซ่งฉงปิงก็ตกตะลึง

ให้เสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าเพียงเดือนเดียว?

ฝ่าบาทต้องการให้สงครามครั้งนี้สิ้นสุดภายในหนึ่งเดือนหรือ?

แต่ว่าจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?

แคว้นซีหรงเป็นศัตรูที่แข็งแกร่ง เวลาหนึ่งเดือนคิดจะตีให้พวกเขาล่าถอย เดิมทีแล้วมันเป็นไม่ไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้น ภายในหนึ่งเดือน ไม่ได้มีการสู้รบทุกวัน

ซ่งหยุนดาเห็นสีหน้าที่ตกตะลึงของบุตรสาว จึงถอนหายใจและกล่าวว่า "ข้าเคยไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว ฝ่าบาทตรัสว่าท้องพระคลังว่างเปล่าไม่มีอะไรแล้ว ไม่ยอมส่งเสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าไปเพิ่ม สองสามวันนี้ข้าคิดที่จะระดมสิ่งของส่งไปยังชายแดนเป็นการส่วนตัว แต่กลับพบว่าในท้องตลาดไม่มีเสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้ามากพอนัก......"

ได้ฟังเช่นนี้ ซ่งฉงปิงก็ยิ่งตกใจ

ในท้องตลาดไม่มีเสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้ามากพอ?

นี่ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย

ตอนนี้เป็นเวลาเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ตามหลักแล้ว เวลานี้ชาวนาจะขายเสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าที่มีเกินพอในบ้านออกมาจึงจะถูกต้อง เหตุใดถึงมีเสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าไม่มากพอล่ะ?

ซ่งหยุนดาไม่อยากให้ซ่งฉงปิงนึกถึงปัญหาเหล่านี้ จึงกล่าวว่า "ปิงเอ๋อร์มีน้ำจิตน้ำใจก็ดีแล้ว ข้าจะคิดหาวิธีแก้ปัญหาเอง เพียงแต่ว่าปิงเอ๋อร์เจ้าจะต้องดูแลตนเองให้ดี อย่าปล่อยให้ใครรังแกเป็นอันขาด"

พูดจบ ซ่งหยุนดาก็มองซ่งฉงปิงด้วยสีหน้าจริงจัง "ปิงเอ๋อร์เจ้าต้องรู้ว่า เจ้าคือบุตรสาวของภรรยาเอกเพียงคนเดียวของข้า ใครก็ไม่สามารถมารังแกเจ้าได้ทั้งนั้น"

ด้วยการแสดงออกอย่างเคร่งขรึมบนใบหน้า ดูเหมือนว่าต้องการจะถ่ายทอดความมั่นใจให้ซ่งฉงปิงผ่านประโยคคำพูดนี้

ซ่งฉงปิงรู้สึกตื้นตันใจ "เพคะ ข้าทราบแล้วเสด็จพ่อ"

ถึงแม้ว่าซ่งฉงปิงจะกล่าวอย่างนี้ แต่ซ่งหยุนดาก็ไม่ไว้วางใจ

ด้วยเหตุนี้เขาจึงใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้บีบขึ้นมา และวางไว้ในปาก จากนั้นก็เป่าลม จนมีเสียงดังขึ้นมา

ประเดี๋ยวเดียว องครักษ์เหล่านั้นก็ปรากฏตัวตรงหน้าสองคนพ่อลูก

"ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้ามีหน้าที่ปกป้องดูแลปิงเอ๋อร์" ซ่งหยุนดากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

องครักษ์เหล่านั้นไม่พูดอะไร คุกเข่าไปทางซ่งฉงปิง "คารวะคุณหนู"

ซ่งฉงปิงคิดว่าองครักษ์ของฉีเทียนเห้าจะต้องมาติดตามตนเอง จึงรีบกล่าวว่า "เสด็จพ่อ ไม่ต้อง......"

"เจ้ารับองครักษ์เอาไว้เถอะ มิฉะนั้นข้าคงไม่สบายใจ"

ซ่งฉงปิงได้ยินเช่นนี้ ก็ต้องกลืนคำปฏิเสธลงไป และเปลี่ยนคำพูด "ข้าไม่คุ้นเคยให้คนมากมายมาติดตามเช่นนี้ มิเช่นนั้นเสด็จพ่อก็ให้คนอยู่ข้างกายข้าเพียงคนเดียวก็พอดีหรือไม่?"

มีองครักษ์ทั้งหมดหกคน ซึ่งดูเกินจริงไปหน่อย

ซ่งหยุนดาฟังคำพูดนั้น คิดใคร่ครวญเล็กน้อย จากนั้นจึงพูดว่า "เทียนมู่ เจ้าอยู่อารักขาคุณหนู"

ความรวดเร็วในการผุดขึ้นมานี้จึงเป็นที่สะดุดตาอย่างมาก ร้านค้าเสื้อผ้าสำเร็จรูปบางแห่งที่มีข้าราชการเป็นผู้สนับสนุนก็ต้องการสร้างปัญหาให้กับหอปิงอวี้ สุดท้ายคนเหล่านี้ก็ได้รับผลกรรมตามมา

ในเวลานี้ ทุกๆ คนจึงรู้ว่า หอปิงอวี้มีผู้สนับสนุนรายใหญ่อยู่เบื้องหลัง

ตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่มีใครกล้าคิดที่จะจัดการหอปิงอวี้อีกเลย

และเนื่องจากไม่มีใครคาดเดาได้ว่าใครคือผู้สนับสนุนของหอปิงอวี้ ฉะนั้นทุกคนจึงให้ความสนใจหอปิงอวี้เป็นพิเศษ นี่จึงกระตุ้นการใช้จ่ายได้ในระดับหนึ่ง

ได้ฟังคำพูดของไป๋ซู่ ซ่งฉงปิงจึงพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

ดูเหมือนว่า กลยุทธ์ทางกิจการของตนเอง อยู่ในเมืองหลวงก็เป็นประโยชน์อย่างมาก และคนเหล่านั้นของฉีเทียนเห้าก็สามารถทำตามกลยุทธ์และจัดการสิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

ไป๋ซู่กับไป๋เสาแตกต่างกัน ไป๋ซู่เป็นคนช่างพูด หลังจากที่เริ่มพูดคุย ไป๋ซู่ก็พูดตั้งแต่หอปิงอวี้ไปจนถึงหอปิงเยว่เลย

แท้จริงแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเกือบพร้อมๆ กันกับหอปิงอวี้ ยังมีโรงน้ำชาอีกหนึ่งแห่งด้วย

ว่ากันว่าโรงน้ำชานั้นแปลกใหม่เป็นพิเศษ ต่างจากโรงน้ำชาที่อยู่ข้างๆ จัดการตกแต่งอย่างงดงามเป็นพิเศษ ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขเมื่ออยู่ในนั้น

อย่างไรก็ตามเนื่องจากหอปิงอวี้กับหอปิงเยว่ต่างก็มีคำว่า"ปิง"เหมือนกัน และปรากฏขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน และเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ดีมีตระกูล หลายๆ คนจึงคาดเดาว่าเถ้าแก่ที่อยู่เบื้องหลังคนนี้จริงๆ แล้วคือคนคนเดียวกัน

"คุณหนูเจ้าคะ คนอื่นล้วนคาดเดาว่าเถ้าแก่ของทั้งสองสถานที่นี้เป็นองค์ชายท่านหนึ่ง" ไป๋ซู่เอ่ยปากพูดสิ่งที่ทุกคนคาดเดา

ซ่งฉงปิงได้ยินเช่นนั้น กลับยิ้มขึ้นมา

และไม่นาน ทั้งสองคนก็มาถึงหอปิงอวี้แล้ว

เพียงแต่ว่า ซ่งฉงปิงเพิ่งจะเข้าไป น้ำเสียงที่ไม่ปรารถนาดีก็ดังทอดเข้ามา

"นี่ หอปิงอวี้แห่งนี้เวลาไหนคนแบบไหนก็สามารถเข้ามาได้สินะ ดูคนจนคนนั้นสิ บ้านนอกจริงๆ เลย ไม่รู้มารยาทเลย"

ซ่งฉงปิงได้ยินคำว่า"บ้านนอก"สองคำนี้ จึงทราบว่าอีกฝ่ายมุ่งเป้ามาที่ตนเอง แววตาเย็นชาเล็กน้อย ซ่งฉงปิงมองตามต้นเสียงไป......

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง