แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง นิยาย บท 571

ตอนซ่งฉงปิงมาถึงด้านหน้าประตูทางเข้าหอปิงเยว่ นางได้เห็นร่างหนึ่งที่คุ้นเคย

นั่นคือซูรุ่ยของจวนเฉิงเซี่ยง

ดวงตาของซ่งฉงปิงสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นกลับมาเป็นปกติ  และเดินเข้าไปทางหอปิงเยว่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ซึ่งความแปรผัน

แต่ไม่รอให้ซ่งฉงปิงเดินถึงประตูทางเข้าหอปิงเยว่  ซูรุ่ยก็เดินเข้ามาต้อนรับแล้ว

“เจียเล่อจวิ้นจู่ เชิญด้านในได้เลย” ซูรุ่ยกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ชัดเจนว่าคนที่เชื้อเชิญซ่งฉงปิงมาก็คือซูรุ่ย

ซูรุ่ยในเวลานี้ ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส มองแล้วคล้ายดั่งคุณชายมากความสามารถตระกูลร่ำรวย

และซูรุ่ยที่เป็นลักษณะเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจับกุมหัวใจของหญิงสาวในเมืองหลวงไปเท่าไหร่แล้ว

แต่เมื่อเห็นซูรุ่ย  ซ่งฉงปิงมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้มีการสั่นไหวเลยแม้แต่น้อย นางเพียงแค่หันไปพยักหน้าให้ซูรุ่ยเล็กน้อย จากนั้นเดินเข้าไปด้านในหอปิงเยว่

เมื่อถูกซ่งฉงปิงเย็นชาใส่  นัยน์ตาของซูรุ่ยมีความอึมครึมแฉลบผ่าน แต่ไม่นานก็กลับมายิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเก่า

หลังจากนั้น ซูรุ่ยสาวเท้าก้าวเดินตามซ่งฉงปิงไปทางห้องพิเศษ

แต่ก่อนจะเข้าไป ซูรุ่ยได้หันไปกล่าวกับไป๋ซู่และไป๋เสาว่า“ข้าต้องการพูดคุยกับจวิ้นจู่ของพวกเจ้าตามลำพัง”

ความหมายนี้ คือต้องการกันคนรับใช้ออกไป

เมื่อซ่งฉงปิงได้ยิน สีหน้ายังคงเรียบเฉย ไม่ได้พูดจาอะไร แม้กระทั่งขนตายังไม่ได้หลุบขึ้นมาเลย

แต่ทว่าไป๋ซู่กลับทำราวกับแม่ปกป้องลูกตัวเอง นางจ้องเขม็งใส่ซูรุ่ยแล้วกล่าวว่า “คุณชายซู ท่านเป็นนักปราชญ์มากความรู้ เหตุใดถึงได้พูดคำเช่นนี้ออกมาเจ้าคะ? คำที่ท่านบอกว่าอยากคุยกับจวิ้นจู่ของพวกเราตามลำพังนี้ หากแพร่สะพัดออกไป คนอื่นจะคิดอย่างไรกับจวิ้นจู่ของพวกเรากันเจ้าคะ?”

เสียงไป๋ซู่ไม่ได้เบา เลยทำให้คนจำนวนไม่น้อยหันมามอง

สีหน้าของซูรุ่ยดูไม่ดี แต่ทว่าเก็บความไม่พอใจไว้ในใจ หันไปทางซ่งฉงปิงโดยการประสานมือคารวะ กล่าวว่า“ข้าน้อยโฉ่งฉ่าง คิดไม่รอบคอบ ขอจวิ้นจู่อย่าถือโทษเลย”

จากนั้นได้ทำท่าทางเคารพ

แต่ดวงตาคู่นั้น กลับมีความอึมครึมซ่อนอยู่

เดิมเขาคิดว่าคนอย่างซ่งฉงปิงมาจากชนบทไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรหรอก หากได้อยู่ห้องเดียวกันกับตัวเองแล้ว เช่นนั้นไม่ว่าอย่างไร นางกับตัวเองก็จะถูกผูกไว้ด้วยกัน เขาก็สามารถสร้างความกดดัน ทำให้นางจำใจต้องแต่งงานกับตัวเองได้

ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่ผู้หญิงตามจีบรุมล้อมเขา ไม่เคยมีผู้หญิงปฏิเสธการสู่ขอแต่งงานของเขาเลย

ซ่งฉงปิงเป็นคนแรก

และนางก็เป็นคนแรก ที่ทำให้เขาอยากแต่งงาน แต่ทว่ากลับไม่เคยแลผู้หญิงของตัวเอง

นางคิดว่าตัวเองเป็นสาวสวยนางฟ้านางสวรรค์อะไรนั่นหรือ?ก็เป็นแค่ผู้หญิงที่อายุมากหมดคุณค่าไม่ได้เป็นสาวแรกแย้มอีกเท่านั้นเอง

ซ่งฉงปิงมองซูรุ่ยที่หลุบตาลงเล็กน้อย ริมฝีปากจึงกระตุกรอยยิ้มเย็นชาขึ้นเล็กน้อย

แม้จะดูสีหน้าท่าทางของเขาไม่ออก แต่กลิ่นอายอยู่บนตัวของเขาที่มันแปรเปลี่ยนไปนั้น นางสัมผัสได้

เมื่อคนจำนวนหนึ่งได้เข้าไปในห้องพิเศษ ไม่นานคนรับใช้ก็ได้ส่งน้ำชาเข้ามา

รอคนรับใช้ออกไปแล้ว  ซูรุ่ยถึงได้ทำหน้าตาเศร้าสร้อยมองซ่งฉงปิง “เจียเล่อ——ตั้งแต่วันนั้นหลังจากออกมาจากงานเลี้ยงในวัง ข้าก็ถวิลหาเพียงท่าน ให้แม่สื่อไปจวนอ๋องอี้วคุยเรื่องสู่ขอหลายครา เรื่องนี้ไม่ทราบว่าท่านรู้หรือไม่?”

ซ่งฉงปิงกล่าวว่า“ข้ารู้แล้ว”

น้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีการสั่นไหวแม้แต่น้อยเลย

ซูรุ่ยสีหน้าแข็งทื่อ กล่าวว่า “เจียเล่อ……”

“ข้าไม่ได้คิดอะไรกับท่าน”ซ่งฉงปิงตอบกลับโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทันทีหลังจากนั้นได้หลุบตาขึ้นมอง ซูรุ่ยสายตาก็ยังราบเรียบอีกทั้งตรงไปตรงมา“หากคุณชายซูมาเพราะเรื่องนี้ เช่นนั้นไม่จำเป็นต้องพูดอะไรต่อแล้ว”

นางกล่าวตัดบท ไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย

นางไม่อยากเสียเวลากับคนที่ไม่สำคัญอะไร

สีหน้าอ่อนโยนของซูรุ่ยแทบจะฝืนไม่ไหว แต่ทว่ากลับพยายามใจเย็นกล่าวว่า“เจียเล่อจวิ้นจู่ ความรู้สึกสามารถพัฒนากันได้……”

“คุณชายซู——”ซ่งฉงปิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม“ข้าเคยบอกแล้ว หากท่านต้องการพูดเรื่องเหล่านี้ เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรจำเป็นต้องคุยกันแล้ว……”

กล่าวจบ ซ่งฉงปิงจึงลุกขึ้นหมายจะเดินออกไป

“เจียเล่อจวิ้นจู่——” ซูรุ่ยเองก็คล่องแคล่วว่องไว ต้องการไปขวางซ่งฉงปิงไว้ เพื่อไม่ให้นางออกไป

อย่างไรก็ตาม ซูรุ่ยที่ว่าเร็วนั้น แต่ไป๋เสาเร็วกว่า

ไป๋เสาแฉลบตัวออกไปขวางซูรุ่ยไว้

ซูรุ่ยชะงักงัน นี่ถึงได้รู้ว่าไป๋เสาที่ถูกตัวเองมองข้ามมาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าจะยังเป็นคนเรียนวรยุทธ์ด้วย

ซูรุ่ยสีหน้าอึมครึม มองไปทางซ่งฉงปิง

“เจียเล่อจวิ้นจู่ ท่านคิดจะทำให้เรื่องมันตัดขาดไร้ซึ่งเยื่อใยขนาดนั้นเชียวหรือ?”

ซ่งฉงปิงได้ยินแล้วหันกลับมามองซูรุ่ยสีหน้าเย็นชา กล่าวว่า“คุณชายซู นี่ไม่ใช่การตัดขาดไร้ซึ่งเยื่อใย”

เมื่อซูรุ่ยได้ยิน นึกว่าเรื่องราวจะแปรเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้

จากนั้นได้ยินซ่งฉงปิงกล่าวว่า “หัวใจของท่านถวิลหาข้านั้นเป็นเรื่องของท่าน ข้าไม่ได้ถวิลหาท่าน เป็นเรื่องของข้า ตามสุภาษิตคำพังเพย การเสพสมฝ่ายหญิงนอนแข็งทื่อย่อมไม่สนุก  คงไม่ใช่ว่าข้าไร้ซึ่งความรู้สึกต่อท่าน แล้วยังจะต้องบังคับตัวเองยอมรับท่านหรอกใช่หรือไม่? และคงไม่ใช่ว่าการที่ข้าไม่ยอมรับท่าน จะเป็นข้าที่ตัดขาดไร้ซึ่งเยื่อใยหรอก ท่านว่าใช่หรือไม่?”

กล่าวจบ ซ่งฉงปิงก็ไม่ได้ให้โอกาสซูรุ่ยอีก นางหมุนตัวเดินออกไปในทันที

ซ่งฉงปิงพูดมาขนาดนี้แล้ว แน่นอนว่าซูรุ่ยไม่มีหน้าไปขวางซ่งฉงปิงอีกแล้ว

แน่นอน ต่อให้ซูรุ่ยอยากจะขวางรั้งไว้ก็ไปรั้งไว้ไม่ได้ เพราะมีไป๋เสาขวางทางเขาไว้อยู่

และคนรับใช้ที่เขาพามาด้วย เป็นเพียงคนรับใช้ธรรมดาทั่วไป ไม่ได้รู้เรื่องวรยุทธ์

ซ่งฉงปิงกับไป๋ซู่ออกไปก่อน รอไปไกลหน่อย ไป๋เสาถึงได้มองซูรุ่ยด้วยสายตาเย็นชา และตามทั้งสองคนออกไป

ซูรุ่ยยืนอยู่ด้านในห้องพิเศษ มองระเบียงทางเดินห้องพิเศษด้วยสีหน้าอึมครึมจนน่ากลัว

ใครๆล้วนคิดว่า ซูรุ่ยเป็นคุณชายมากความสามารถตระกูลร่ำรวยที่ยิ้มแย้มแจ่มใสอ่อนโยนราวหยก แต่ความเป็นจริงแล้วภายในใจมีความอำมหิตมืดดำซ่อนอยู่ มีเพียงแค่ตัวเขาเองที่รู้

เดิมทีเขาอยากจะครอบครองเอาชนะซ่งฉงปิง แต่ตอนนี้ ภายในใจของซูรุ่ยมีเพียงความเดือดดาลอัดแน่นเต็มอณู

ความเดือดดาลของซูรุ่ย ซ่งฉงปิงไม่รู้ ——แน่นอน ต่อให้นางรู้ นางก็ไม่ได้มีท่าทีแยแสอะไร

สำหรับคนที่ไม่ได้แยแสสนใจ ท่าทีก็คือไม่แยแสสนใจนั่นแหละ

อีกทั้งซูรุ่ยเป็นคุณชายของจวนเฉิงเซี่ยง  เขาอยากจะแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนก็ย่อมได้? ทำไมจะต้องเอานางที่เป็นจวิ้นจู่อายุมาก?

เหอะ! ไม่ใช้สมองเท่าไหร่ก็รู้ จุดมุ่งหมายของซูรุ่ย คนนี้มันไม่ธรรมดา

ไม่ว่าซูรุ่ยจะมาเข้าใกล้ตัวเองด้วยจุดมุ่งหมายอะไร นางล้วนไม่สนใจที่จะแสร้งแสดงความนอบน้อมและคล้อยตามเขาหรอกนะ

นี่คือปฏิกิริยาท่าทีที่นางปฏิบัติกับคนที่มีเจตนาแอบแฝง

ซ่งฉงปิงได้ยิน ไม่ได้กล่าวอะไรมาก นางเพียงแค่ยิ้ม

คนเหล่านั้นเสียใจภายหลังหรือไม่นั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนางมาก

เวลานี้ ตรงประตูมีเสียงเคาะดังขึ้น

เป็นเวลาปกติทั่วไป ไม่อาจมีคนมาเคาะประตูตามอำเภอใจได้ นอกจากเป็นคนของตัวเอง

อีกทั้งวิธีการเคาะสามครั้งแล้วหยุด ซ่งฉงปิงรู้สึกว่าคุ้นเคย เลยกล่าวขึ้นว่า“เข้ามา”

โอหยางฉี่หยู่แปลกประหลาดใจเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้มีการโต้แย้ง ประตูถูกเปิดออก คนที่เข้ามาคือไป๋เสา

เมื่อเห็นว่าไป๋เสา   ซ่งฉงปิงนางเป็นคนที่เข้าใจในสิ่งนี้เป็นอย่างดี

ด้วยเหตุนี้  ตอนไป๋เสามาพูดอะไรข้างหูนาง ซ่งฉงปิงก็ไม่ได้มีความรู้สึกประหลาดใจ

หลังจากเงียบฟัง ไป๋เสาเล่ารวบรัดแต่เนื้อหาชัดเจนเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าของซ่งฉงปิงไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย

หลังจากไป๋เสาเล่าจบ ก็ถอยไปยืนอยู่กับไป๋ซู่อีกด้านหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ไป๋ซู่มองไป๋เสา ใช้สายตากล่าวถามว่าเมื่อครู่นี้ ไป๋เสาไปทำอะไรมา

ไป๋เสาเพียงแค่เหลือบมองไป๋ซู่ ไม่ได้กล่าวพูด ยืนเงียบสงบอยู่ตรงนั้นต่อไป

และสายตาของโอหยางฉี่หยู่ แน่นอนว่าไม่ได้จับจ้องอยู่ที่สาวใช้สองคน เขามองซ่งฉงปิงอยู่ตลอด

เวลานี้ เห็นสีหน้าของซ่งฉงปิงไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ชัดเจนว่าไม่ได้ถูกกระทบ โอหยางฉี่หยู่ถึงได้กล่าวว่า“ครานี้ข้ามาเมืองหลวง หลักๆเลยคือต้องการจัดการกับอดีตให้เรียบร้อย”

ซ่งฉงปิงได้ยินก็รับรู้ได้ ความหมายของโอหยางฉี่หยู่ คือเขาต้องการจัดการตระกูลฮัว

ฉะนั้นที่เขาบอกเล่ากับตัวเอง อาจจะได้ยินได้ฟังเรื่องระหว่างตัวเองกับตระกูลฮัว

แต่นึกถึงคำพูดของไป๋เสา นัยน์ตาของซ่งฉงปิงแปรเปลี่ยนเล็กน้อย นางมองไปทางโอหยางฉี่หยู่“จัดการกับตระกูลฮัว ข้ามีวิธีถอนรากถอนโคน แต่ไม่รู้ว่าเจ้านั้นทำใจได้หรือไม่นะ”

โอหยางฉี่หยู่ได้ฟัง นัยน์ตาเป็นความแปลกใจก่อน จากนั้นได้เปลี่ยนเป็นความเกลียดชังและเย็นชาทันที“กับพวกเขา ข้าไม่มีอะไรที่ทำใจไม่ได้หรอก เห็นตระกูลฮัวล่มจม เป็นสิ่งที่ข้าปรารถนาทั้งชีวิต”

ซ่งฉงปิงมองโอหยางฉี่หยู่ นางรู้ว่าโอหยางฉี่หยู่ไม่มีทางพูดปด

ด้วยเหตุนี้ ถึงได้กล่าวว่า“เมื่อครู่ข้าได้ยินมาว่า ตระกูลฮัวกำลังคิดแผนการชั่วจะจัดการข้า เพราะฉะนั้น ข้ามีแผนวิธีซ้อนกล——”

………

ตอนที่ซ่งฉงปิงกลับจวนคือนั่งรถม้ากลับ

ตอนก่อนจะถึงประตูจวน ไป๋ซู่อดที่จะเปิดผ้าม่านขึ้นไม่ได้

“เอ๋?”

ดวงตาไป๋ซู่มีความงงงวย

ไป๋เสามองไปทางไป๋ซู่  ไป๋ซู่หันไปมองซ่งฉงปิง“จวิ้นจู่เจ้าคะ ด้านหน้าประตูมีแม่นางผู้หนึ่งเดินไปเดินมาอยู่เจ้าค่ะ”

ซ่งฉงปิงได้ยิน เพียงแค่มองไป๋ซู่ไม่ได้สนใจ

หลังจากลงรถม้า ซ่งฉงปิงจะมุ่งหน้าเข้าจวนอ๋องเลย

แต่ตอนเดินมาถึงหน้าประตูทางเข้า หางตาหันไปมองอีกด้านโดยไม่รู้ตัว ตอนเห็นเรือนร่างอันคุ้นเคยนั่งยองๆอยู่ตรงมุม อดไม่ได้ที่จะหยุดนิ่งไปสักพักหนึ่ง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง