เวลานี้มีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ตรงข้างลานลงทัณฑ์ ผู้เฒ่าเคราผมขาวยืนอยู่ตรงนั้น กรอบดวงตาชื้นแฉะมองหลิวจิ้งเซียน
“เซียนเอ๋อร์...”
คนผู้นี้ก็คือหลิวไท่ฟู่นั่นเอง
ที่จริงในตอนที่หลิวไท่ฟู่เกิดเรื่อง หลิวไท่ฟู่ก็ทราบข่าวแล้ว
เพียงแต่หาคนไม่พบเท่านั้น
อยู่ไม่พบคน ตายไม่พบศพ
กระทั่งฉีเทียนเห้ามาหา
หลิวไท่ฟู่มีบุตรีเพียงคนเดียวเท่านั้น ปีนั้นเขาไม่อาจขัดราชโองการ ดังนั้นจึงได้แต่ให้บุตรีเป็นชายาของอ๋องคัง
ขณะที่อ๋องคังถูกตัดสิน หลิวไท่ฟู่ก็อยู่ข้างๆ ด้วย
เมื่อได้ฟังความอหังการของอ๋องคัง หลิวไท่ฟู่ก็เจียนจะรับไม่ได้
หลิวไท่ฟู่เห็นบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างบุตรี ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “เซียนเอ๋อร์ กลับบ้านกับข้าเถอะ”
…
จัดการบรรดาบุตร ของฮ่องเต้หย่งเฉิงเรียบร้อยแล้ว
นอกจากซ่งหลิงหลิง บุตรสาวที่เหลือของฮ่องเต้หย่งเฉิงล้วนออกเรือนไปหมด คนเดียวที่ยังเล็กอยู่ ตอนนี้มีอายุเพียงห้าขวบ อีกทั้งเสด็จแม่ก็เสียไปแต่ยังเล็ก สุดท้ายจึงถูกเสด็จอาสูงวัยรับไปเลี้ยงดู
สำหรับนางสนมในวังหลัง ที่ไม่เคยถูกถวายตัวก็ปล่อยออกนอกวัง ให้แต่งงานใหม่กันเอง
ส่วนที่เคยถวายตัวแต่ไม่มีบุตร หลังจากหมอหลวงตรวจสอบว่าในท้องไม่มีบุตรแล้วก็ถูกให้ออกจากวังเหมือนกัน
สนมที่เคยมีบุตรจะถูกส่งไปบวชชีพราหมณ์ที่อารามหลวง
สำหรับฮ่องเต้หย่งเฉิง
ซ่งหยุนดาไม่ได้สังหารเขา
บางครั้งการให้คนตายมันง่ายเกินไป
แต่ชีวิตนี้ซ่งหยุนจางมีบาปมหันต์ ให้เขาตายจะง่ายสำหรับเขาไปหน่อย
ดังนั้นซ่งหยุนดาจึงให้คนส่งเขาไปที่อารามหลวง ปลงผมบวช ไถ่โทษต่อประชาชนที่ต้องเสียชีวิตเพราะเขาทั้งทางตรงและทางอ้อมในปีนั้น
สำหรับผู้ที่เคยเป็นจักรพรรดิมาก่อน นี่อาจเป็นการลงทัณฑ์ที่หนักที่สุด
แต่ที่ชวนให้สะท้อนใจมากที่สุดกลับเป็นฮองเฮา
ในวันที่เกิดความเปลี่ยนแปลงในวังหลัง ฮองเฮาก็เริ่มสติฟั่นเฟือนแล้ว
หลังจากอ๋องคังถูกตัดหัว ฮองเฮาก็วิปลาสโดยสมบูรณ์
ทีแรกเนื่องจากฮองเฮาวิปลาสไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่คิดลงโทษนางอีก ทว่าในคืนนั้นเอง ฮองเฮากลับวางเพลิงตำหนักของตัวเอง
เพลิงโหมเกินไป ไม่อาจช่วยออกมาได้ กระทั่งสามารถควบคุมไฟได้ ฮองเฮาก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปเสียแล้ว
สำหรับคนของตระกูลมู่ยังมีขุนนางสองสามคนที่เป็นประโยชน์ต่อหน้าฮ่องเต้หย่งเฉิงและทำความชั่ว วันถัดมาหลังจากประหารอ๋องคังก็ถูกเชือดไก่ให้ลิงดู ครอบครัวขุนนางเหล่านี้ที่ควรถูกลดตำแหน่งก็ลดตำแหน่ง ที่ควรถูกริบทรัพย์ก็ริบทรัพย์ ที่ควรถูกเนรเทศก็ถูกเนรเทศ ดี
กระทั่งถึงวันขึ้นครองราชย์ ธุระที่ควรจัดการ โดยรวมก็จัดการไปหมดแล้ว เสร็จสิ้นเรียบร้อยทุกประการ
ตามหลัก การขึ้นครองราชย์ต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่ที่สุด
ซ่งหยุนดาสวมชุดมังกรสีเหลือทองอร่าม จูงมือเว่ยหวิงซีในชุดหงส์สีทอง ประกอบพิธีไหว้ฟ้าจนเสร็จ จากนั้นก็ขึ้นนั่งในท้องพระโรง ร่วมรับการคารวะจากเหล่าขุนนาง
เสียง “ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี ฮองเฮาพันปี พันปี พันพันปี” ได้ยินไม่ขาดสาย
ซ่งหยุนดาขึ้นครองราชย์ เปลี่ยนจากรัชศกหยวนเป็นรัชศกหย่งคัง ขนานพระนามว่าฮ่องเต้หย่งคัง มีความหมายอันเป็นสิริมงคลว่าเจริญรุ่งเรืองอยู่เย็นเป็นสุข
ซ่งฉงปิงถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิงใหญ่เจียเล่อ ซ่งเฮงถูกแต่งตั้งเป็นไท่จื่อ ส่วนอานอานกับเล่อเล่อก็ถูกแต่งตั้งเป็นซื่อจื่อกับจวิ้นจู่
ผู้เฒ่าเว่ยรับตำแหน่งเป็นไท่จื่อไท่ฟู่ รับผิดชอบสั่งสอนชี้แนะซ่งเฮงโดยเฉพาะ
ส่วนคนตระกูลเว่ยที่เหลือ แม้เตรียมตัวเข้ารับราชการ แต่ก็แค่เตรียมตัวกันอย่างค่อยเป็นค่อยไปเท่านั้น
ส่วนซูเฉิงเซี่ยง แม้ยังได้เป็นขุนนาง แต่กลับถูกลดตำแหน่งไปสามขั้น ฮ่องเต้หย่งคังใช้คนหน้าใหม่ เป้ยเจิ้งชิงดำรงตำแหน่งเป็นเฉิงเซี่ยงคนใหม่
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป จึงเป็นธรรมดาที่จะมีคนจำนวนมากในราชสำนักที่ไม่พอใจ
เพราะการใช้คนหน้าใหม่เป็นเฉิงเซี่ยง มิใช่การตัดสินใจตามปกติ การใช้คนหน้าใหม่นั้นหมายถึงการปฏิวัติการใช้คนด้วย
แต่ฮ่องเต้หย่งคังไม่ใช่ฮ่องเต้หย่งเฉิง ตรัสคำไหนคำนั้น ไม่ยอมให้ปฏิเสธ
สำหรับเป้ยเจิ้งชิงจะสามารถนั่งตำแหน่งเฉิงเซี่ยงนี้ได้อย่างมั่นคงหรือไม่ นั่นเป็นธุระของเขา
หากไม่ใช่เพราะที่พวกเขาสวมอยู่บนตัวคือชุดนวมขนจิ้งจอก พวกเขายังสงสัยว่าความจริงตอนนี้คือฤดูร้อน
เมื่อถามจึงได้ทราบว่าผักเหล่านี้เรียกว่า ‘ผักนอกฤดูกาล’
เห็นว่าในเมืองหลวงมี ‘ร้านขายผักสด’ เปิดใหม่
ถูกต้อง ชื่อของร้านก็คือร้านขายผักสด ธรรมดาจำง่าย
บรรดาฮูหยินคิดกันอยู่ในใจว่าเอาไว้จบงานเลี้ยงในวังแล้วต้องให้คนรับใช้บ้านตนไปซื้อผักกลับมาจำนวนหนึ่งให้ได้
ทันใดนั้นทุกคนต่างมีความคิดแบบนี้
ส่วนซ่งฉงปิงที่นั่งอยู่ข้างบน เมื่อได้เห็นภาพนี้แล้วก็ยกยิ้มที่มุมปาก
งานเลี้ยงในครั้งนี้ ผู้ที่มีชัยสูงสุดก็คงเป็นนางแล้ว
ยามเหมันตฤดูมาถึง ผักสดของนางก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการระบายออก ตอนนี้ที่ต้องห่วงที่สุดก็คือผักสดจะเพียงพอต่อตลาดตามปกติหรือไม่
เมื่อคิดเช่นนี้ ซ่งฉงปิงก็รู้สึกว่าพรุ่งนี้ต้องออกเมืองสักครั้ง ไปปรึกษาหารือเรื่องขยายขนาดกับจางเอ้อหลางที่หมู่บ้าน
ตอนนี้นางไม่กังวลเรื่องรอบการเติบโตของผักแล้ว ที่เหลือเป็นปัญหาเรื่องกำลังคน
สำหรับเรื่องบ้านเมือง มีเทียนเห้ากับเสด็จพ่อดูแลอยู่ นางไม่จำเป็นต้องห่วง
เมื่อครู่นี้เอง เสด็จพ่อยังออกจากงานไปกับเทียนเห้า ไม่ทราบว่าไปปรึกษากันเรื่องอะไร
และในห้องทรงพระอักษรเวลานี้ ซ่งหยุนดากำลังมองฉีเทียนเห้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ประชุมเช้าพรุ่งนี้ พวกขุนนางต้องพูดเรื่องแคว้นซีหรงกับแคว้นเป่ยอันแน่ เจ้ามีแผนการอย่างไร?” ซ่งหยุนดามองฉีเทียนเห้า เอ่ยถามเสียงหนัก
“ไม่มีแผน” ฉีเทียนเห้าตอบเรียบ “ในเมื่อพวกเขาอยากทำสงคราม เช่นนั้นก็ทำสงครามไปเสียสิ”
ซ่งหยุนดาได้ยินดังนั้นก็ถลึงตาใส่ฉีเทียนเห้า “ทำสงคราม พูดง่าย...”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ซ่งหยุนดาก็รู้สึกไม่ถูกต้อง มองฉีเทียนเห้าด้วยความฉงนใจเล็กน้อย “เจ้ามีแผนแล้ว?”
เมื่อเห็นดังนั้น ซ่งหยุนดาก็นึกสนุก “รีบบอกข้ามา เจ้าคิดจะทำอย่างไร?”
ฉีเทียนเห้าได้ยินแล้วกลับเงยหน้าสบกับคลองจักษุของซ่งหยุนดาแบบไม่รีบไม่ร้อน ไม่ตอบแต่กลับย้อนถาม “ไม่ทราบฝ่าบาทเตรียมกำหนดงานแต่งงานของข้ากับปิงเอ๋อร์เป็นเมื่อไร?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง
สนุกแต่ทำไมคุยกับคนอายุเยอะกว่า เรียกเจ้า ๆ ข้า กับเจ้า ทำไม่ใช่ ท่าน เหมือนอันอัน อานอาน คุยกับพ่อ กับผู้ใหญ่ เรียกเจ้าอยู่เลย...
เนื่องนี้สนุกดี..ถึงแม้จะมีบางตอนที่เขียนเนือยไปหน่อย แต่ก็ตบกลับมาได้ 👍👍👍 คือ โอเคดีเลย...
ตอนที่ 19 - 20 หาย...
เรื่องนี้เคยลงจนจบแล้วหายไปไหนหมด เคยลงในreaderaz...