ชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านพ้นไปสามวันแล้ว
เรื่องที่อู่หมิงโหวซื่อจื่อแย่งชิงภรรยากับอ๋องเซ่อเจิ้งกลางถนน ได้แพร่กระจายไปในเมืองหลวงตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ปฏิกิริยาแรกของบรรดาประชาชนก็คือไม่เชื่อ
ใครจะสามารถเชื่อได้หรือ?
นั่นคือภรรยาของอ๋องเซ่อเจิ้ง ใครจะกล้าแย่งชิง? ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร?
อีกอย่าง ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้ ประชาชนได้ยินว่า'มีคนแย่งชิงภรรยาของอ๋องเซ่อเจิ้ง' ปฏิกิริยาแรกของทุกคนก็คงจะไม่เชื่ออย่างแน่นอน กระทั่งคิดว่าอีกฝ่ายเป็นบ้าไปแล้ว ถึงอย่างไร อ๋องเซ่อเจิ้งก็มีชื่อเสียงเรื่องความโดดเดี่ยวเดียวดาย
แต่ตอนนี้ไม่ใช่ เพราะว่าใครๆ ต่างก็รู้ว่าอ๋องเซ่อเจิ้งตอนนี้มีภรรยาแล้ว
อีกทั้ง ภรรยาของอ๋องเซ่อเจิ้งบัดนี้ยังเป็นองค์หญิงใหญ่ผู้มีอำนาจอีกด้วย คนทั้งสองก็แต่งงานกันแล้ว แล้วก็มีลูกด้วยกันแล้วด้วย
ฉะนั้น พระชายา องค์หญิงเตี้ยนเซี่ย คาดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าไปแย่งชิงหรือ?
อยากตายหรือไง?
ในขณะเดียวกันที่คิดเช่นนี้ ทุกคนก็คิดว่าหลัวเจิ้งหยางเป็นผู้กล้าหาญคนหนึ่งจริงๆ
ด้วยเหตุนี้ หลัวเจิ้งหยางที่อยู่ในคุก จึงได้รับสมญานามจากคนจำนวนมากว่า'ผู้กล้าหาญ'
หลังจากที่ผ่านไปสามวัน เล่ากันว่าโทษทางกฎหมายของผู้กล้าหาญได้ตัดสินแล้ว และถูกตัดสินให้ตัดศีรษะอีกด้วย
หลังจากได้ฟังข่าวนี้ ทุกคนก็รู้สึกเพียงว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปตามเหตุผล
มีพยานจำนวนมาก หลักฐานก็แน่นอน จึงไม่อาจล้างมลทินได้
เพียงแต่ ที่ควรค่ากับการเอ่ยถึงคือ โทษประหารของหลัวเจิ้งหยางถูกกำหนดหลังจากหนึ่งเดือน
ส่วนหลัวหง ถึงแม้จะรู้มาก่อนแล้วว่าลูกชายคนนั้นของตนเองอาจจะถูกตัดสินประหาร แต่ตอนที่ได้รู้ ก็ยังเก็บความโกรธเดือดดาลเอาไว้ในใจ
เพียงแต่ผู้ที่มีตำแหน่งสูง ส่วนใหญ่ก็จะโหดเหี้ยมไร้ความปรานี
หลัวหงก็คือคนที่โหดเหี้ยมไร้ความปรานีเช่นนี้
ในเมื่อหลัวหงตัดสินใจที่จะทอดทิ้งหลัวเจิ้งหยางแล้ว เขาก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนความคิดนี้
และอีกอย่าง หลัวหงก็รู้สึกเสียดายอย่างมาก
แต่สาเหตุของการเสียดายไม่ใช่การสูญเสียลูกชายคนหนึ่งไป แต่เป็นเพราะว่าตนเองไม่ได้คิดที่จะทอดทิ้งหลัวเจิ้งหยางตั้งแต่แรก จนกระทั่งสูญเสียเงินไปกว่าเจ็ดแสนตำลึง
ความคิดนี้ยิ่งเกิดขึ้นภายในใจ หลัวหงก็ยิ่งรู้สึกเสียดาย
และหลัวหงที่ไม่ได้คำนึงถึงความคิดของหลัวเจิ้งหยางโดยสิ้นเชิง จึงเริ่มคิดหาวิธีที่จะหาโอกาสออกจากเมืองหลวง
ภายใต้สถานการณ์ที่ฝ่าบาทไม่เห็นด้วย หากหลัวหงต้องการจะออกจากเมืองหลวง ก็จะต้องเตรียมการอย่างรอบคอบ
ถึงอย่างไร ก็เหมือนกับการต่อต้านพระราชโองการ หลัวหงจึงต้องวางแผนเส้นทางอย่างดีเพื่อที่จะได้กลับไปซีหนานได้อย่างปลอดภัย
หลัวหงคิดว่าหากตนเองได้กลับไปถึงซีหนาน ก็จะต้องเหมือนกับปลาได้น้ำอย่างแน่นอน และฝ่าบาทก็จะไม่สามารถทำอะไรกับเขาได้อีก
เพียงแต่ที่หลัวหงไม่ทราบก็คือ ทุกการกระทำของตนเองล้วนอยู่ในการเฝ้าระวังของฉีเทียนเห้า
……
หลายวันมานี้ ซ่งฉงปิงก็ค่อนข้างผ่อนคลายลงอย่างมาก เวลาส่วนใหญ่ก็ใช้ไปกับการวางแผนกลยุทธ์ในจวนองค์หญิงใหญ่
ในเวลานี้ ป้ายของจวนอ๋องอวี้ ก็ได้เปลี่ยนเป็นตัวอักษรตัวใหญ่ว่า'จวนองค์หญิงใหญ่'แล้ว จวนอ๋องอวี้ก็ได้เป็นของซ่งฉงปิงโดยสิ้นเชิง
เวลานี้อานอานและเล่อเล่อได้พักอยู่ในพระราชวัง
อานอานรับผิดชอบการเรียนหนังสือด้วยกันกับซ่งเฮง โดยที่ท่านเว่ยเป็นคนสอนด้วยตัวเอง ส่วนทางด้านเล่อเล่อรับผิดชอบในการติดตามเว่ยหวินซี เพื่อเรียนรู้มารยาทในพระราชวัง
ที่ควรค่ากับการเอ่ยถึงก็คือ เพราะซ่งหยุนดารู้ว่าเล่อเล่อชื่นชอบศิลปะการต่อสู้ จึงได้เชิญอาจารย์ที่เก่งมาสอนนางอีกด้วย
ซ่งหยุนดารักใคร่เอ็นดูบุตรสาว แล้วก็รักใครเอ็นดูหลานสาวด้วย
อีกอย่าง ซ่งหยุนดาก็ไม่รู้สึกว่าการที่หลานสาวชอบศิลปะการต่อสู้แล้วมันจะไม่ดีอย่างไร
โดยเฉพาะ มารยาทในพระราชวังของเล่อเล่อ ก็เรียนรู้ได้รวดเร็วยิ่งกว่าใคร
ควรค่าที่จะเอ่ยถึงก็คือ หลังจากที่พบกันครั้งนี้ การค้าขายของหอปิงอวี้ก็ยิ่งดีขึ้น
แล้วใครจะไม่อยากสร้างความสัมพันธ์กับองค์หญิงใหญ่ล่ะ?
ใครๆ ต่างก็คิด
ในวันปกตินั้นสร้างความสัมพันธ์ไม่ได้ ก็ไม่ต้องคิดมากไม่ใช่หรือ? สำหรับคนจำนวนมากแล้ว หอปิงอวี้เป็นความก้าวหน้าที่ดีที่สุด
ว่ากันว่า ในวันธรรมดา ผู้หญิงบางคนในเมืองหลวงซื้อเสื้อผ้าของหอปิงอวี้และทำให้พ่อพี่ชายและสามีของพวกเขาตำหนิเล็กน้อย ถึงอย่างไรเสื้อผ้าเหล่านี้ก็ไม่ใช่ราคาถูก และมันมีค่าสูงกว่าเสื้อผ้าจากร้านข้างๆ หลายเท่านัก
เช่นนั้นในตอนนี้ คนเหล่านี้จึงถูกคนในครอบครัวยัดเงิน และถูกโน้มน้าวให้ไปซื้อเสื้อผ้าของหอปิงอวี้
เพราะถ้าหากวันหนึ่งพวกนางถูกองค์หญิงใหญ่พบเข้า เมื่อผ่านสายตาขององค์หญิงใหญ่ ก็จะกลายเป็นสหายคนสนิทขององค์หญิงใหญ่ไม่ใช่หรือ?
อีกอย่าง การใส่เสื้อผ้าร้านที่องค์หญิงใหญ่เปิด เมื่อสวมใส่ออกไปไหนก็จะดูดีมีสง่าราศี
ฉะนั้น ในช่วงเวลานี้ หอปิงอวี้จึงค่อนข้างยุ่งอย่างมาก
แต่เถ้าแก่มาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ และยังมีท่าทีรีบร้อนอีกด้วย เพียงแค่เห็นก็รู้ว่าเกิดเรื่องแล้ว
เพียงแต่ นับตั้งแต่หอปิงอวี้ถูกเปิดเผยว่าเป็นอุตสาหกรรมของนาง แล้วใครจะกล้าเข้ามาสร้างความเดือดร้อนที่หอปิงอวี้อีกหรือ?
รอให้เถ้าแก่เข้ามาใครพลาง ภายในใจของซ่งฉงปิงก็ครุ่นคิดไปพลาง ขั้นตอนนี้ ซ่งฉงปิงก็สงบนิ่งอย่างมาก
ถึงอย่างไรสถานะปัจจุบันของนางก็แสดงให้เห็นแล้ว นางจึงมั่นใจว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
พอเถ้าแก่เกินมาถึงตรงหน้า ซ่งฉงปิงก็ไม่ได้รีบร้อนเอ่ยปากกล่าวถาม เพียงแต่รอให้เถ้าแก่หายเหนื่อยหอบเสียก่อน
หลังจากที่เถ้าแก่หายเหนื่อยแล้ว จึงนึกขึ้นได้ว่าจะต้องทำความเคารพ
"ข้าน้อยขอคารวะองค์หญิงใหญ่"
ในหอปิงอวี้ องค์หญิงใหญ่จะยกเว้นประเพณี แต่ที่นี่คือจวนองค์หญิงใหญ่ ควรจะต้องมีการปฏิบัติตามธรรมเนียม
ซ่งฉงปิงมองเถ้าแก่ แล้วกล่าวถามว่า "มีเรื่องอะไรถึงได้รีบร้อนเช่นนี้หรือ?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง
สนุกแต่ทำไมคุยกับคนอายุเยอะกว่า เรียกเจ้า ๆ ข้า กับเจ้า ทำไม่ใช่ ท่าน เหมือนอันอัน อานอาน คุยกับพ่อ กับผู้ใหญ่ เรียกเจ้าอยู่เลย...
เนื่องนี้สนุกดี..ถึงแม้จะมีบางตอนที่เขียนเนือยไปหน่อย แต่ก็ตบกลับมาได้ 👍👍👍 คือ โอเคดีเลย...
ตอนที่ 19 - 20 หาย...
เรื่องนี้เคยลงจนจบแล้วหายไปไหนหมด เคยลงในreaderaz...