แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง นิยาย บท 702

ชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านพ้นไปสามวันแล้ว

เรื่องที่อู่หมิงโหวซื่อจื่อแย่งชิงภรรยากับอ๋องเซ่อเจิ้งกลางถนน ได้แพร่กระจายไปในเมืองหลวงตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ปฏิกิริยาแรกของบรรดาประชาชนก็คือไม่เชื่อ

ใครจะสามารถเชื่อได้หรือ?

นั่นคือภรรยาของอ๋องเซ่อเจิ้ง ใครจะกล้าแย่งชิง? ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร?

อีกอย่าง ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้ ประชาชนได้ยินว่า'มีคนแย่งชิงภรรยาของอ๋องเซ่อเจิ้ง' ปฏิกิริยาแรกของทุกคนก็คงจะไม่เชื่ออย่างแน่นอน กระทั่งคิดว่าอีกฝ่ายเป็นบ้าไปแล้ว ถึงอย่างไร อ๋องเซ่อเจิ้งก็มีชื่อเสียงเรื่องความโดดเดี่ยวเดียวดาย

แต่ตอนนี้ไม่ใช่ เพราะว่าใครๆ ต่างก็รู้ว่าอ๋องเซ่อเจิ้งตอนนี้มีภรรยาแล้ว

อีกทั้ง ภรรยาของอ๋องเซ่อเจิ้งบัดนี้ยังเป็นองค์หญิงใหญ่ผู้มีอำนาจอีกด้วย คนทั้งสองก็แต่งงานกันแล้ว แล้วก็มีลูกด้วยกันแล้วด้วย

ฉะนั้น พระชายา องค์หญิงเตี้ยนเซี่ย คาดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าไปแย่งชิงหรือ?

อยากตายหรือไง?

ในขณะเดียวกันที่คิดเช่นนี้ ทุกคนก็คิดว่าหลัวเจิ้งหยางเป็นผู้กล้าหาญคนหนึ่งจริงๆ

ด้วยเหตุนี้ หลัวเจิ้งหยางที่อยู่ในคุก จึงได้รับสมญานามจากคนจำนวนมากว่า'ผู้กล้าหาญ'

หลังจากที่ผ่านไปสามวัน เล่ากันว่าโทษทางกฎหมายของผู้กล้าหาญได้ตัดสินแล้ว และถูกตัดสินให้ตัดศีรษะอีกด้วย

หลังจากได้ฟังข่าวนี้ ทุกคนก็รู้สึกเพียงว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปตามเหตุผล

มีพยานจำนวนมาก หลักฐานก็แน่นอน จึงไม่อาจล้างมลทินได้

เพียงแต่ ที่ควรค่ากับการเอ่ยถึงคือ โทษประหารของหลัวเจิ้งหยางถูกกำหนดหลังจากหนึ่งเดือน

ส่วนหลัวหง ถึงแม้จะรู้มาก่อนแล้วว่าลูกชายคนนั้นของตนเองอาจจะถูกตัดสินประหาร แต่ตอนที่ได้รู้ ก็ยังเก็บความโกรธเดือดดาลเอาไว้ในใจ

เพียงแต่ผู้ที่มีตำแหน่งสูง ส่วนใหญ่ก็จะโหดเหี้ยมไร้ความปรานี

หลัวหงก็คือคนที่โหดเหี้ยมไร้ความปรานีเช่นนี้

ในเมื่อหลัวหงตัดสินใจที่จะทอดทิ้งหลัวเจิ้งหยางแล้ว เขาก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนความคิดนี้

และอีกอย่าง หลัวหงก็รู้สึกเสียดายอย่างมาก

แต่สาเหตุของการเสียดายไม่ใช่การสูญเสียลูกชายคนหนึ่งไป แต่เป็นเพราะว่าตนเองไม่ได้คิดที่จะทอดทิ้งหลัวเจิ้งหยางตั้งแต่แรก จนกระทั่งสูญเสียเงินไปกว่าเจ็ดแสนตำลึง

ความคิดนี้ยิ่งเกิดขึ้นภายในใจ หลัวหงก็ยิ่งรู้สึกเสียดาย

และหลัวหงที่ไม่ได้คำนึงถึงความคิดของหลัวเจิ้งหยางโดยสิ้นเชิง จึงเริ่มคิดหาวิธีที่จะหาโอกาสออกจากเมืองหลวง

ภายใต้สถานการณ์ที่ฝ่าบาทไม่เห็นด้วย หากหลัวหงต้องการจะออกจากเมืองหลวง ก็จะต้องเตรียมการอย่างรอบคอบ

ถึงอย่างไร ก็เหมือนกับการต่อต้านพระราชโองการ หลัวหงจึงต้องวางแผนเส้นทางอย่างดีเพื่อที่จะได้กลับไปซีหนานได้อย่างปลอดภัย

หลัวหงคิดว่าหากตนเองได้กลับไปถึงซีหนาน ก็จะต้องเหมือนกับปลาได้น้ำอย่างแน่นอน และฝ่าบาทก็จะไม่สามารถทำอะไรกับเขาได้อีก

เพียงแต่ที่หลัวหงไม่ทราบก็คือ ทุกการกระทำของตนเองล้วนอยู่ในการเฝ้าระวังของฉีเทียนเห้า

……

หลายวันมานี้ ซ่งฉงปิงก็ค่อนข้างผ่อนคลายลงอย่างมาก เวลาส่วนใหญ่ก็ใช้ไปกับการวางแผนกลยุทธ์ในจวนองค์หญิงใหญ่

ในเวลานี้ ป้ายของจวนอ๋องอวี้ ก็ได้เปลี่ยนเป็นตัวอักษรตัวใหญ่ว่า'จวนองค์หญิงใหญ่'แล้ว จวนอ๋องอวี้ก็ได้เป็นของซ่งฉงปิงโดยสิ้นเชิง

เวลานี้อานอานและเล่อเล่อได้พักอยู่ในพระราชวัง

อานอานรับผิดชอบการเรียนหนังสือด้วยกันกับซ่งเฮง โดยที่ท่านเว่ยเป็นคนสอนด้วยตัวเอง ส่วนทางด้านเล่อเล่อรับผิดชอบในการติดตามเว่ยหวินซี เพื่อเรียนรู้มารยาทในพระราชวัง

ที่ควรค่ากับการเอ่ยถึงก็คือ เพราะซ่งหยุนดารู้ว่าเล่อเล่อชื่นชอบศิลปะการต่อสู้ จึงได้เชิญอาจารย์ที่เก่งมาสอนนางอีกด้วย

ซ่งหยุนดารักใคร่เอ็นดูบุตรสาว แล้วก็รักใครเอ็นดูหลานสาวด้วย

อีกอย่าง ซ่งหยุนดาก็ไม่รู้สึกว่าการที่หลานสาวชอบศิลปะการต่อสู้แล้วมันจะไม่ดีอย่างไร

โดยเฉพาะ มารยาทในพระราชวังของเล่อเล่อ ก็เรียนรู้ได้รวดเร็วยิ่งกว่าใคร

ควรค่าที่จะเอ่ยถึงก็คือ หลังจากที่พบกันครั้งนี้ การค้าขายของหอปิงอวี้ก็ยิ่งดีขึ้น

แล้วใครจะไม่อยากสร้างความสัมพันธ์กับองค์หญิงใหญ่ล่ะ?

ใครๆ ต่างก็คิด

ในวันปกตินั้นสร้างความสัมพันธ์ไม่ได้ ก็ไม่ต้องคิดมากไม่ใช่หรือ? สำหรับคนจำนวนมากแล้ว หอปิงอวี้เป็นความก้าวหน้าที่ดีที่สุด

ว่ากันว่า ในวันธรรมดา ผู้หญิงบางคนในเมืองหลวงซื้อเสื้อผ้าของหอปิงอวี้และทำให้พ่อพี่ชายและสามีของพวกเขาตำหนิเล็กน้อย ถึงอย่างไรเสื้อผ้าเหล่านี้ก็ไม่ใช่ราคาถูก และมันมีค่าสูงกว่าเสื้อผ้าจากร้านข้างๆ หลายเท่านัก

เช่นนั้นในตอนนี้ คนเหล่านี้จึงถูกคนในครอบครัวยัดเงิน และถูกโน้มน้าวให้ไปซื้อเสื้อผ้าของหอปิงอวี้

เพราะถ้าหากวันหนึ่งพวกนางถูกองค์หญิงใหญ่พบเข้า เมื่อผ่านสายตาขององค์หญิงใหญ่ ก็จะกลายเป็นสหายคนสนิทขององค์หญิงใหญ่ไม่ใช่หรือ?

อีกอย่าง การใส่เสื้อผ้าร้านที่องค์หญิงใหญ่เปิด เมื่อสวมใส่ออกไปไหนก็จะดูดีมีสง่าราศี

ฉะนั้น ในช่วงเวลานี้ หอปิงอวี้จึงค่อนข้างยุ่งอย่างมาก

แต่เถ้าแก่มาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ และยังมีท่าทีรีบร้อนอีกด้วย เพียงแค่เห็นก็รู้ว่าเกิดเรื่องแล้ว

เพียงแต่ นับตั้งแต่หอปิงอวี้ถูกเปิดเผยว่าเป็นอุตสาหกรรมของนาง แล้วใครจะกล้าเข้ามาสร้างความเดือดร้อนที่หอปิงอวี้อีกหรือ?

รอให้เถ้าแก่เข้ามาใครพลาง ภายในใจของซ่งฉงปิงก็ครุ่นคิดไปพลาง ขั้นตอนนี้ ซ่งฉงปิงก็สงบนิ่งอย่างมาก

ถึงอย่างไรสถานะปัจจุบันของนางก็แสดงให้เห็นแล้ว นางจึงมั่นใจว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

พอเถ้าแก่เกินมาถึงตรงหน้า ซ่งฉงปิงก็ไม่ได้รีบร้อนเอ่ยปากกล่าวถาม เพียงแต่รอให้เถ้าแก่หายเหนื่อยหอบเสียก่อน

หลังจากที่เถ้าแก่หายเหนื่อยแล้ว จึงนึกขึ้นได้ว่าจะต้องทำความเคารพ

"ข้าน้อยขอคารวะองค์หญิงใหญ่"

ในหอปิงอวี้ องค์หญิงใหญ่จะยกเว้นประเพณี แต่ที่นี่คือจวนองค์หญิงใหญ่ ควรจะต้องมีการปฏิบัติตามธรรมเนียม

ซ่งฉงปิงมองเถ้าแก่ แล้วกล่าวถามว่า "มีเรื่องอะไรถึงได้รีบร้อนเช่นนี้หรือ?"

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง