โหลชีเข้าใจความคิดน่าหลานฮั่วซิน และไม่อยากเสียเวลาพล่ามกับนาง
น่าหลานฮั่วซินอดทนต่อได้ เพียงพูดอย่างเย็นชาว่า "แม่นางโหลช่างไม่รู้จักสูงต่ำจริงๆ" นางพลันรู้สึกว่าเฉินซ่ารู้สึกว่าโหลชีพิเศษเพราะเรื่องนี้หรือไม่? บางทีพอเวลาผ่านไปนานเข้า ความแปลกใหม่ก็ผ่านไปแล้ว เขาจะเริ่มไม่ชอบใจการไม่รู้กฎระเบียบของนางเป็นแน่
แต่นางไม่อยากเสี่ยงได้
"ใกล้ถึงเวลางูยักษ์เย็นสารทฤดูสุกเต็มที่แล้ว ข้ามิมีเวลามาพล่ามกับพวกเจ้ามากนัก ทำได้เพียงนำทางพวกเจ้าระยะหนึ่ง และชี้ขอบเขตโดยประมาณให้กับแม่นางโหล และขอให้แม่นางโหลรีบไปตามหาเถาทองม่วง พอหาเถาทองม่วงได้ใส่ไปที่ตีนเขาเวิ่นเทียน จะมีศิษย์เขาเวิ่นเทียนออกมารับ แม่นางโหลอย่าเสียเวลามากไปเลย ความสัมพันธ์ระหว่างเขาเวิ่นเทียนกับพั่วอวี้หากแย่งลงเพราะเจ้า เจ้ารับผิดชอบไม่ไหวดอก"
"แม่นางน่าหลานรู้ตำแหน่งที่แน่นอนของงูยักษ์เย็นสารทฤดู?" ไม่สนใจสิ่งที่นางพูด โหลชีกลับสนใจกับสิ่งนี้ นั่นเป็นตัวยาของเฉินซ่า
"มันมิใช่สิ่งที่เจ้าต้องสนใจ เจ้าคิดว่าด้วยฝีมือเจ้าแล้ว เจ้าจะเข้ารอบในของหุบเทพมารได้รึ?"
น่าหลานฮั่วซินกัดปากแน่นไม่ยอมบอกขอบเขตที่แน่นอนของงูยักษ์เย็นสารทฤดู โหลชีกะพริบตาเล็กน้อย ราวกับเข้าใจความคิดนาง "งั้นพวกเรารีบไปกันเถิด"
น่าหลานฮั่วซินนำทางพวกนางไป จนถึงก้นหุบเขา พลันรู้สึกหนาวเสียดกระดูก อีกทั้งยังใกล้เวลาเย็น ลมหนาวพัดมา แทรกเข้าไปในเสื้อผ้า ขนาดโหลชียังทนไม่ไหวสะท้านเยือก พอหันมองน่าหลานฮั่วซิน กลับเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย โหลชีตาหลุบต่ำลงเล็กน้อย
"ตามข้าไป รอบนอกหุบเทพมารถึงจะไม่น่ากลัวเหมือนรอบใน แต่อันตรายก็ไม่น้อย ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะระวังตัวมากขึ้น เถาทองม่วงชอบแสงตะวัน ดังนั้นปกติแล้วจะเติบโตอยู่ทางตะวันออก พวกเจ้าเดินไปทางตะวันออกก็ได้แล้ว แต่คืนนี้ข้าจะอยู่กับพวกเจ้า"
เดินไปสักพัก น่าหลานฮั่วซินหาที่ว่างหลบลมที่หนึ่ง "คืนนี้พักแรมที่นี่ พวกเจ้าสองคนไปเก็บฟืนมาก่อไฟ ทางที่ดีอย่าไปไกลนัก"
โหลชีแอบพยักหน้าให้พวกเขาสองคน เฉิงสิบกับโหลวซิ่นจึงแยกกันไปคนละทาง
น่าหลานฮั่วซินนั่งอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่ง แกะผ้าปิดหน้าออก พลางหันมาถามโหลชี "แม่นางโหลรู้สึกว่าใบหน้านี้ของข้าเป็นเยี่ยงไร?"
งดงามดุจกล้วยไม้ เงียบเชียบไร้ที่ติ คิ้วและตาของน่าหลานฮั่วซินงดงามได้รูปแล้ว และยังมีจมูกโด่งริมฝีปากสีลิ้นจี่ ผิวขาวดุจหิมะ นับเป็นสาวงามหายาก ยิ้มมุมปากน้อยๆ ดวงตาเย้ายวน ขนาดผู้หญิงด้วยกันอย่างโหลชียังมองตาเคลิ้ม
และรังสีความเย่อหยิ่งสูงส่งชนิดหนึ่งบนตัวนางอีก ถ้าเป็นชุดขาวทั้งชุด ต้องเป็นนางฟ้าดวงจันทร์แน่ แต่ชุดยาวสีแดงเพลิงกลับทำให้ความเย็นชานี้ลดทอนลงไปหลายส่วน เพิ่มความงดงามเข้ามาหน่อย ยิ่งทำให้นางดูแล้วเย้ายวนใจยิ่ง
"แม่นางน่าหลานงดงามยิ่ง" คำพูดนี้โหลชีชมจากใจจริง เพียงแต่นางอยากถามซักคำว่า ไหนบอกระยะไว้ทุกข์สามปียังไม่หมดไม่ใช่หรือไง? ทำไมใส่ชุดแดงทั้งชุดนี่ได้ล่ะ?
น่าหลานฮั่วซินกลับหลุบตาลงถอนหายใจแผ่วเบา "ข้ากับซ่า ไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้ว ตอนนั้นเป็นสหายรักใครกันมาตั้งแต่เด็ก หากโลกนี้เปลี่ยนผันมิมีสิ่งใดเป็นนิรันดร์ บัดนี้ได้แต่คิดถึงกันจากคนละที่"
ยังคิดถึงกันจากคนละที่อีกแหนะ
โหลชีไม่ต่อคำ นางตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะจากไป ต่อไปเฉินซ่าจะแต่งสิบคนร้อยคน ใครจะเป็นจักรพรรดินีใครจะเป็นสนม มันไม่เกี่ยวกับนาง นางก็แค่อยากแสดงน้ำใจ ช่วยเขาสักหน่อย ก่อนจะแยกย้ายไปคนละทางกับเขา คิดซะว่าตอบแทนน้ำใจที่เขาช่วยนางตอนอยู่ในค่ายกลสรรพสิ่งฝันยิ้ม
เพียงแต่ว่า นางจะจากไป ไม่ได้หมายความว่ายอมให้คนอื่นจูงจมูก นางไม่ได้เกิดปีวัวซะหน่อย
น่าหลานฮั่วซินไม่ได้ยินโหลชีพูดต่อ จึงพูดอีกว่า "บอกข้าหน่อยสิ เจ้ากับซ่ารู้จักกันได้เยี่ยงไรรึ"
โหลชียื่นมือไปดึงเถาวัลย์มาท่อนหนึ่ง และถักเป็นห่วงหญ้า เหลือปลายไว้ยาวๆ และโยนออกไป จากนั้นดึงมาอีกสองท่อน ถักอีกหลายอัน พอถักเสร็จก็โยนออกไป
"มีอะไรน่าพูดกัน เจอกันโดยบังเอิญเท่านั้น"
น่าหลานฮั่วซินกัดฟันถาม "พอเจอกันซ่าก็ดีกับเจ้ามากเลยรึ?"
"เขาดีกับข้ามากรึ?" โหลชีเอียงคอมองนาง ครุ่นคิดการพบกันตั้งแต่ครั้งแรกจนตอนนี้ของนางกับเฉินซ่า ดีแค่ไหนกันน่ะ ตอนแรกแค่นางพูดในสิ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จะจับนางโยนออกไป เกือบทำนางโดนฟันตายแล้วไหมล่ะ
อีกครั้งก็ ไม่ยอมให้เงินนางสักนิด ทองสองลังที่นางแบกออกมาจากจวนอ๋องเหอชิ่งก็โดนเขาเอาไปให้องครักษ์เยว่เก็บไว้แล้ว โชคดีที่นางได้แบกทองสองลังจากโกดังของไอ้ตาเดียวออกมา ยังมีของดีอีกสองอย่าง พอมาถึงในเมือง นางไปโรงจำนำเปลี่ยนทองสองลังนั่นกลายเป็นตั๋วเงินในจำนวนต่างๆกัน และแลกเงินย่อยมอบให้พวกเฉิงสิบเอาไว้ด้วย ส่วนกำไลกับปิ่นนั่นก็พกติดตัวไว้
นางรู้ว่าตอนแรกฟ่านฉางจื่อคิดจะเอาสองอย่างนี้กลับไปเมื่อมาถึงที่นี่ แต่หาโอกาสไม่ได้ เลยได้แต่ยอมแพ้
และไม่รู้ว่าพอฟ่านฉางจื่อกลับไปแล้วพบว่าของในโกดังไม่เหลือแล้วจะเป็นยังไง
น่าหลานฮั่วซินเห็นนางเหมือนรำลึกอะไร แล้วพลันยิ้มออกมา คิดว่านางคิดถึงอดีตแสนหวานกับเฉินซ่า แววตาแอบทอประกายอาฆาตขึ้น
เฉิงสิบกับโหลวซิ่นไม่นานก็กลับมา คนหนึ่งแบกฟืน อีกคนล่าจิ้งจอกตัวเล็กมาได้ เจ้านี่เอามาทำเป็นเนื้อย่างก็อร่อยนัก
ระหว่างทางทั้งคู่แบ่งหน้าที่กันอย่างชำนาญ รอจนเตรียมของพร้อมสรรพแล้ว ก็จะเป็นโหลชีลงมือ
น่าหลานฮั่วซินเห็นโหลชีหยิบเครื่องปรุงขวดเล็กต่างๆออกจากกระเป๋า ก็งุนงง
นางไม่เคยเห็นเลยว่าจะย่างเนื้อต้องใส่เครื่องปรุงมากมายเพียงนี้
แต่ในตอนที่เนื้อย่างเสร็จแล้ว กลิ่นหอมประหลาดโชยออกมานั่นทำเอานางแทบลืมตัวพุ่งเข้าไปหา "เจ้าก็เคยย่างเนื้อให้ซ่ารึ?"
โหลชีได้ยินนางเอาแต่เรียก "ซ่า"ไม่ขาดปาก หันไปยิ้มบอกว่า "ใช่ แม่นางน่าหลาน บอกเจ้าไปอย่างนะ จำไว้ให้ดีล่ะ จะจับบุรุษผู้หนึ่ง อันดับแรกต้องจับกระเพาะเขาไว้ซะก่อน"
น่าหลานฮั่วซินตะลึง
ทันใดนั้นเหมือนมีอะไรขยับใต้เท้า โหลชียิ้มมุมปาก ยื่นมือไปคว้าจับเถาวัลย์เส้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว และออกแรงดึง
ปึ้งดังขึ้น มีอะไรบางอย่างตกลงพื้น
"จุดไฟ"
เสียงโหลชีดังขึ้น โหลวซิ่นรีบผลุดกระโดดขึ้นมาจุดไฟ มือของโหลชีจับเถาวัลย์ไว้มั่น ปลายเถาวัลย์อีกด้านผูกไว้เป็นวง กำลังรัดข้อเท้าของคนๆหนึ่งอยู่ คนผู้นั้นโดนโหลชีกระชากล้มลมพื้นอย่างไม่รู้ตัวตอนนี้กำลังดิ้นรนแต่ลุกไม่ขึ้น
โหลชีพยักหน้า "ที่แท้เป็นคนจริงๆ"
"นี่คือมนุษย์ป่า" น่าหลานฮั่วซินเดินเข้ามาเหมือนกัน นางมิได้มองดูมนุษย์ป่านั่น แต่กลับมองโหลชีด้วยแววตาประหลาดใจ
นางมองเห็นแล้ว ห่วงหญ้าที่ผูกรัดมนุษย์ป่าไว้คือสิ่งที่โหลชีถักทออย่างเบื่อหน่ายก่อนหน้านี้ เดิมนางคิดว่าก็แค่เบื่อหน่าย ไม่คิดว่าจะเป็นกับดัก!
พริบตาเดียว สำหรับที่นางรู้สึกว่าโหลชีเป็นอันตรายต่อนางยิ่งก็ไม่แปลก! แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางยิ่งสมควรตาย!
มนุษย์ป่า ไม่รู้ว่ามาปรากฏตัวในหุบเทพมารตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แต่คนที่พวกเขาจับได้อายุไม่น้อยแล้ว บนตัวเขามีลักษณะพิเศษของบรรพบุรุษ มีขนทั่วตัว โครงหน้าคล้ายลิงชิมแปนซี ไม่ได้สูงนัก น่าจะราวหนึ่งเมตรหก ไม่ได้ใส่เสื้อผ้า ฟันยาวและแหลมมาก เวลาคำถามมีกลิ่นปากน่ารังเกียจแผ่ซ่านออกมา ทำให้คนถอยหลังกรูด
มนุษย์ป่าคนนี้เหมือนได้รับบาดเจ็บมาก่อน ไม่งั้นคงไม่เอาแต่ดิ้นรนลุกไม่ขึ้นหลังจากโดนโหลชีกระชากล้มลง รอจนเขาดิ้นรนลุกขึ้นได้แล้ว กลับเอื้อมมือคว้าโครงกระดูกจิ้งจอกที่พวกเขาทิ้งไว้ข้างๆมาแทะกิน
กระดูกหัวที่แข็งนั่นเหมือนกระดูกอ่อนในปากเขาก็ไม่ปาน กร๊วมกร๊วมก็กัดขาดแล้ว จากนั้นได้ยินเสียงเขาเคี้ยวกร้วมๆ และกลืนมันลงไปจริงๆ
นั่นกระดูกหัวนะ!
พอเห็นเขาอ้าปากกว้าง ฟันแหลมซี่หนึ่งกัดกระดูกหัวขาด ทุกคนรู้สึกเหมือนเจ็บกระดูกหัวตนเอง ไม่กล้าสงสัยเลยสักนิดว่า ถ้าพวกเขาโดนมนุษย์ป่านี่จับได้ คงโดนจับกินสดๆแน่
"แม่นาง จัดการอย่างไรดี?" เฉิงสิบกระซิบถามเสียงต่ำ
โหลชีกำลังจะตอบ มนุษย์ป่านั่นโยนกระดูกหัวทิ้งไป หันมามองทางนาง นางใจกระตุกวูบ เพราะเห็นประกายหิวโหยละโมบในดวงตามนุษย์ป่านั่น
"ถอย!"
ในตอนที่คำว่าถอยออกจากปากนาง มนุษย์ป่านั่นก็พุ่งเข้าหานางด้วยความเร็วและเรี่ยวแรงอย่างที่ก่อนหน้านี้ไม่มี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ