บัลลังก์ชายาหมอเทวดา นิยาย บท 271

ทันทีที่เย่จายซิงเอ่ยออกมา ทุกคนก็เงียบกริบในทันใด

ราชสำนักออกปากปฏิเสธแล้ว นางยังพูดต่อหน้าทุกคนว่าตัวเองเป็นคนร่ายม่านอาคมเหวปีศาจอยู่อีก!

คำพูดของนางเป็นจริงหรือเท็จกันแน่?

ตอนนี้ทุกคนไม่รู้ว่าควรเชื่อใครดี แรกเริ่ม พวกเขาเชื่อเซ่าตี้ เซ่าตี้เป็นถึงเทพอุปถัมภ์ของใต้หล้า เขาจะหลอกลวงทุกคนได้อย่างไร

ทว่าวันนี้คนของราชสำนักพูดว่าม่านอาคมนั่นเย่จายซิงไม่ได้เป็นคนร่ายขึ้นมาตั้งแต่แรก หากแต่เป็นคนของราชสำนักต่างหาก ไม่แน่ว่าอาจเป็นเจตนารมณ์ของฮองเต้ ดูไม่เหมือนคำโกหกเลย

อย่างไรเสียฮ่องเต้ก็เป็นผู้ที่อยู่สูงสุดไร้ใครเทียมในแคว้นเทพมังกร จะหลอกลวงได้อย่างไร?

หากฮ่องเต้ไม่คู่ควรให้เชื่อถือ แล้วพวกเขาจะไปเชื่อใครได้อีก?

คนหนึ่งคือองค์รัชทายาท อีกคนคือกษัตริย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ต่างคนต่างพูดคนละอย่าง

ทุกวันนี้เผ่าอสูรและอสูรปีศาจจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ด้านนอกของม่านอาคมเหวปีศาจ ที่มนุษย์ผู้ฝึกตนยังไม่ถูกสังหาร ทุกคนจึงได้แต่คิดว่าในนั้นมีม่านอาคมที่ทรงพลังอยู่ผืนหนึ่ง และมองไม่ออกเลยว่าใครเป็นผู้ร่ายชึ้น

มีแต่ต้องเข้าไปใกล้ม่านอาคมเท่านั้น ถึงจะสัมผัสได้ถึงตราสำนึกที่ผนึกอยู่ด้านบน

“ทำไมพวกเราต้องเชื่อเจ้า! เจ้าเองก็ไม่มีหลักฐานเหมือนกันไม่ใช่หรือ? นี่ก็แค่คำพูดปลิ้นปล้อนพล่อยๆ ของเจ้าเท่านั้นแหละ!”

หลีฉือไม่เชื่ออยู่แล้ว การประลองเทียนเจียวสิ้นสุดไปนานเท่าใดแล้ว ตอนนั้นเย่จายซิงเพิ่งจะมีวรยุทธแดนราชาทิพย์ ต่อให้ใช้วิชาลับ ก็ไม่มีทางร่ายม่านอาคมที่ทรงพลังเช่นนั้น ให้กั้นโลกปีศาจออกจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้อยู่ดี

นึกย้อนกลับไป ตอนอยู่ที่แคว้นหงส์แดง หากไม่ใช่เพราะเย่จายซิงวางยา เขาคงบีบนางให้ตายได้ด้วยมือเดียวไปแล้ว

แม้นางจะก้าวหน้ารวดเร็ว และเปลี่ยนไปมากโข นั่นก็ไม่มีทางมีพลังที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นได้

“ในเมื่อพวกเจ้าไม่เชื่อในสิ่งที่ข้าพูด แล้วจะมาถามข้าทำไมเล่า”

สีหน้าเย่จายซิงแปรเปลี่ยนเป็นเฉื่อยชา นัยน์ตาสีดำเรียบนิ่งสุดขั้ว

นางไม่โกรธเลยสักนิด เพราะนี่เป็นเรื่องที่สุดแสนจะเหลือเชื่อจริงๆ หากไม่เห็นกับตาตัวเอง ใครมันจะไปนึกภาพออก ว่านางเป็นผู้ร่ายม่านอาคม

ราชสำนักจงใจปล่อยคำพูดออกมา เพื่อให้ผู้คนมาโจมตีนาง และสาดคำครหาใส่นาง เพราะราชสำนักเองก็คิดว่าเสด็จอาน่าจะเป็นคนร่ายม่านอาคมนั่น แล้วเขาก็ยกมันให้นาง

แต่ราชสำนักต้องคิดไม่ถึงแน่ๆ ว่าม่านอาคมนั่น นางเป็นคนร่ายขึ้นจริงๆ ดิ้นรนจนลมหายใจเฮือกสุดท้าย

“เย่จายซิง เจ้านี่มันหน้าด้านหน้าทนจริงๆ! หนังหน้าหนาเสียยิ่งกว่าอะไร! ไม่แปลกใจเลยที่ราชสำนักไม่ชายตาแลเจ้า ให้เจ้าเป็นสนมของเซ่าตี้! นางสนมเรอะ ก็แค่นางสนมชั้นต่ำเท่านั้นแหละ!”

หลีฉือหัวเราะเยาะ จ้องนางด้วยแววตาเหี้ยมเกรียมราวกับงูพิษ

บนชั้นสองฝั่งตรงข้าม โจวเหม้ยและเย่เจียหรงลุกขึ้นยืน ใช้สายตาถากถางมองนางอย่างไม่ปิดบัง

คราวนี้ ชื่อเสียงของนางคงจะฉาวโฉ่แล้ว

ได้รับความโปรดปรานจากเซ่าตี้แล้วอย่างไร ก็แค่ของเล่นที่เทียบชั้นใครไม่ติดเท่านั้น

“เจ้าหุบปากสะ!”

เย่ยู่หยางโมโหเสียจนไอสังหารแผ่กระจาย อยากจะชักกระบี่ฆ่าคน กลับถูกลั่วกูหยุนกดบ่าเอาไว้ แล้วส่ายหน้าให้เขา

“ที่นี่คือเฉินตู ไม่อาจวิวาททำร้ายคนตามใจชอบได้”

แต่สามารถลอบดักตีได้ ขอแค่อย่าให้ผู้คนอื่นเห็นเป็นพอ

เย่จายซิงส่งยิ้มให้น้องชาย เอ่ยว่า :

“สุนัขกัดเจ้า เจ้าไม่อาจกัดคืนได้ อย่าเก็บมาใส่ใจเลย คิดเสียว่าสุนัขมันเห่าไปทั่วก็พอ ความจริงหนักแน่นกว่าคำพูด เมื่อถึงวันที่ความจริงกระจ่าง คนบางคนอาจต้องเเสียใจกับความรู้สึกแคลงใจในวันนี้เป็นแน่”

เย่ยู่หยางพยักหน้าแรงๆ

ถูกแล้ว เขาเชื่อใจท่านพี่เสมอ นางไม่มีทางโกหกแน่

นางบอกว่าตัวเองเป็นคนร่ายม่านอาคมขึ้น ก็จะต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน

“พวกเจ้านั่นแหละหมา! จงใจเล่นแง่! ปากแข็งอย่างกับปากเป็ดตาย!”

หลีฉือตะเบ็งเสียงพูดหน้าเขียวคล้ำ กล้าด่าเขาว่าหมาเชียวรึ!

“เผ่าปีศาจทางแดนเหนือถูกสังหารหมดแล้ว!”

ฉับพลันนั้น มีคนส่องแผ่นยกขึ้นมาท่ามกลางฝูงชน คนผู้นั้นกวาดมองปราดหนึ่ง แล้วเอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ

เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะเยาะ :

“เห็นไหมเล่า ข้านึกอยู่แล้วเชียวว่านางไม่ใช่คนร่ายม่านอาคม เซ่าตี้หลอกพวกเราทุกคน เพื่อจะอภิเษกกับนาง!”

“ไม่ใช่!”

เจ้าหนุ่มคนนั้นส่ายหน้าพร้อมตะโกนเสียงดัง :

“ม่านอาคมผืนนั้นเซ่าตี้ไม่ใช่คนร่าย แต่เป็นเย่จายซิง! ด้านบนมีตราสำนึกและกลิ่นอายของเย่จายซิงอยู่! เป็นอย่างที่นายน้อยตระกูลหรงและผู้อาวุโสแห่งสำนักกุยหยวนกล่าวไว้! พวกเขาเห็นเย่จายซิงกันทุกคน!”

“อะไรกัน! เป็นไปไม่ได้!”

หลีฉือหน้าเปลี่ยนสีทันใด เท้าโซเซไปมา

ทุกคนในเหตุการณ์ต่างตะเลิดเปิดเปิงจนรู้สึกสับสนและอึ้งกันเป็นแถบ

เย่จายซิงเป็นคนร่ายม่านอาคมผืนนั้นขึ้นมาจริงๆ อย่างนั้นรึ!

ม่านอาคมผืนนั้นขวางกั้นเผ่าปีศาจทุกตนจากโลกปีศาจเอาไว้ ทำให้ไม่มีพวกปีศาจบุกเข้ามาในโลกมนุษย์ได้ ดังนั้นสมาคมผู้ฝึกตนจึงสามารถสังหารเผ่าปีศาจบนโลกไปได้รวดเร็วขนาดนี้

หากปราศจากม่านอาคม ก็คงไม่ราบรื่นเช่นนี้

นางเป็นคนปกป้องเผ่าพันุธ์มนุษย์ แต่พวกเขากลับยืนอยู่ในที่แห่งนี้สงสัยและคาดคั้นนางด้วยจิตคิดร้าย กระทั่งตอนที่หลีฉือบังคับนางให้คุกเข่าขอโทษยังไม่เอ่ยคัดค้านเลยสักคำ

พวกเขาปฏิบัติกับผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตตัวเองเช่นนี้หรือ!

“แม่นางเย่! ข้าผิดไปแล้ว! ท่านกับเซ่าตี้ช่วยเหลือเผ่าพันธุ์มนุษย์เรา แต่ข้ากลับสงสัยพวกท่าน ข้าไม่มีหน้าไปมองท่านกับเซ่าตี้แล้ว!”

ชายเฒ่าผู้หนึ่งคุกเข่าพร้อมพรั่งพรูออกมาด้วยความสำนึกผิดเหลือแสน

จากนั้นคนอื่นๆ ก็คุกเข่าลงทีละคน สีหน้าละอายใจระคนโทษตัวเอง ไม่น่าคล้อยตามคนอื่นไปสงสัยนางทั้งที่ยังไม่ตรวจสอบความจริงเลย

ได้ยินเซ่าตี้ตรัสก่อนหน้านี้ว่า นางใช้วิชาลับ จนร่างกายบอบช้ำอย่างหนัก หมดสติไปนานกว่าจะฟื้นคืน

เวลานี้ เมื่อทุกคนต่างนึกถึงภาพที่เซ่าตี้อุ้มเย่จายซิงที่หมดสติกลับมาวันนั้น ก็หักห้ามความอดสูและขมขื่นเอาไว้ไม่อยู่

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา