เมื่อมวลฝุ่นนิ่งสงบและความจริงถูกเปิดเผย ภาพในวันวานก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคนอีกครั้ง
ภาพที่เซ่าตี้ทรงขี่มังกรเขียว อุ้มเย่จายซิงกลับมายังเฉินตูในวันนัั้้น แม้แต่รายละเอียดต่างๆ ยังดูเหมือนจะขยายกว้างในจิตใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
มือที่ห้อยตกไร้เรี่ยวแรงของเย่จายซิง ผิวที่ซีดขาวไร้สีเลือดบนมือ รวมไปถึงเส้นเลือดเขียวที่ปูดโปนขึ้นจากความอุตสาหะอย่างหนัก
วินาทีนั้นนางเหมือนตุ๊กตาผุพังที่ขาดชีวิตชีวา ดูราวกับไม่มีแม้แต่จังหวะการเต้นของหัวใจ
ตั้งแต่บรรพกาลนานมาจนบัดนี้ วิชาลับที่ใช้เร่งการเลื่อนขั้นวรยุทธล้วนมีคุณสมบัติในการทำลายตนเองอย่างมหาศาล บางวิชาหลังใช้เสร็จแล้วถึงขั้นร่างแตกสลายจนสิ้นชีพได้เลย
เมื่อนึกดูจึงรู้ว่าเย่จายซิงในวันนั้น อ่อนแอเพียงใด
นางจ่ายให้ด้วยราคาที่มากมายเพียงนั้น สุดท้ายกลับได้รับเสียงครหานับไม่ถ้วน
ผู้คนรู้สึกผิด เสียใจ และนึกเหยียดหยามความคิดของตนในใจ
เซ่าตี้สูญเสียอายุขัยไปหลายพันปี ส่วนเย่จายซิงก็เกือบจะต้องสังเวยชีวิตเป็นราคา ถึงมีความสงบสุข และไม่ผวากันทุกเมื่อเชื่อวันอีกต่อไปดังเช่นวันนี้
ทว่าพวกเขากลับสงสัยว่าเซ่าตี้จงใจหลอกลวง ยกเอาม่านอาคมผืนนั้นขึ้นมาอ้าง เพื่อจะได้อภิเษกให้เย่จายซิงเป็นชายา
ถึงขั้นที่ พวกเขาสงสัยว่าเย่จายซิงใช้วิธีสกปรกโปรยเสน่ห์ใส่เซ่าตี้ ทำให้เขากลายเป็นคนหลอกลวงอีกต่างหาก
ท้ายที่สุด ทุกอย่างล้วนเป็นความคิดไปเองของพวกเขา
เซ่าตี้ไม่ได้โกหกตั้งแต่แรก
และก่อนหน้านี้ เย่จายซิงเองก็ยังไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นคนร่ายม่านอาคม จึงยิ่งไม่มีเหตุผลให้ไปชุบมือเปิบใคร
“ขออภัยด้วย แม่นางเย่ ท่านโปรดให้อภัยแก่ความไม่รู้และความบุ่มบ่ามของพวกเราด้วยเถิด!”
“ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ทานเสียสละเพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์!”
“พวกเราสนับสนุนให้ท่านเป็นสนมของเซ่าตี้ มีเพียงท่านเท่านั้นที่มีคุณสมบัตินี้!”
ทุกคนกล่าวขอโทษด้วยใจจริง
ลั่วกูหยุนและเย่ยู่หยางสองคน ต่างมีความรู้สึกภาคภูมิเชิดฉาย ในที่สุดกลิ่นอายความตึงเครียดนั่นก็สลายไปกับอากาศแล้ว
แต่ในใจของเย่จายซิงไม่ได้ตื้นตันแต่อย่างใด นางเข้าไปยังโลกปีศาจ เพราะเสด็จอา แม้ใจจริงจะไม่ต้องการให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ถูกทำลาย แต่ความตั้งใจเดิมของนางไม่ใช่เพื่อปกป้องพวกเขา หากแต่อยากจะช่วยเสด็จอาเท่านั้น
ต่อให้ความซาบซึ้งของพวกเขาจะจริงใจเพียงใด ก็ไร้ความหมาย มีคำกล่าวว่า ความจริงใจที่ล่าช้านั้นราคาถูกกว่าหญ้า การสำนึกบุญคุณที่ล่าช้าก็เช่นกัน
แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของหลีฉือและคนอื่นๆ นางก็สาแก่ใจยิ่งนัก
“พวกท่านไม่ต้องขอโทษ และไม่ต้องคุกเข่าด้วย ลุกขึ้นให้หมดเถิด อย่างไรคนที่บังคับให้ข้าคุกเข่าก็ไม่ใช่พวกท่าน แต่เป็นคนอื่น”
สายตาของนางมองทอดไปทางหลีฉือ
หลีฉือลีบตัวเข้าไปในฝูงชน คิดจะฉวยโอกาสชุลมุนหนีไป เขาถูกหักหน้าต่อหน้าธารกำนัล ไม่อาจหาทางลงได้ ไม่กล้าอยู่ต่อไปอย่างแน่นอน
ทันทีที่สิ้นเสียงของเย่จายซิง ทุกคนก็มองตรงไปที่เขา แล้วพากันชี้หน้าด่า :
“ใช่เลย เขานั่นแหละที่จงใจเสี้ยมพวกเราให้เข้าใจแม่นางเย่ผิด! เขามีเจตนาไม่ดี!”
“ถึงขั้นกล้าให้แม่นางเย่คุกเข่า เจ้าคู่ควรแล้วรึ?”
“คนผู้นี้ยังเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักเมฆแดง ข้าว่าคุณธรรมของสำนักเมฆแดงคงถูกสุนัขกินไปหมดแล้วล่ะ เซ่าตี้กับแม่นางเย่ช่วยเหลือมวลมนุษย์ไว้ กลับให้ร้ายพวกเขาเช่นนี้ ช่างอำมหิตจริงๆ!”
“รีบคุกเข่าขอโทษแม่นางเย่เร็วเข้า!”
“ใช่แล้ว รีบคุกเข่าลงเร็วเข้า!”
หลีฉือหน้าประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวขาว แววตาเกรี้ยวกราด เขาเป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ หากคุกเข่าให้เย่จายซิง แล้วต่อไปจะเหลือศักดิ์ศรีอันใดให้พูดถึงเล่า?
เขาไม่มีทางคุกเข่าให้เย่จายซิงเด็ดขาด!
เขาแค่นเสียงเอ่ยว่า :
“น่าขันนัก ข้าจะมีความผิดได้อย่างไร คำเหล่านี้ล้วนถูกส่งออกมาจากราชสำนัก ข้าเพียงเชื่อสิ่งที่ได้ฟังก็เท่านั้น แล้วข้าก็ไม่ได้ชักนำความเห็นชาวบ้านด้วย อีกอย่าง ราชสำนักพูดเช่นนี้ ก็แสดงว่าพวกเขาไม่โปรดปรานเย่จายซิง ยิ่งไม่อาจให้เซ่าตี้อภิเษกนางเป็นชายา ก็แค่สนมคนหนึ่ง พวกเจ้าจะประจบอะไรกันนักหนา!”
ฟิ้ว!
ขณะนั้นเอง ลูกธนูสีดำดอกหนึ่งก็แหวกเวหาพุ่งเข้ามา แล้วแล่นเข้าแทงทะลุหัวใจของหลีฉือ ด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาด
ผู้คนแยกย้ายไปพลาง ซุบซิบกันไปพลาง
องค์หญิงหลิงหยุนปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ได้ยินคำนี้ ก็กัดฟันจนเลือดแทบออก เดิมนึกว่าชื่อเสียงของเย่จายซิงจะป่นปี้ ไหนเลยจะคาดคิดว่า ตัวนางถึงขั้นเป็นคนร่ายม่านอาคมขึ้นมาจริงๆ
คราวนี้ ความนิยมของเย่จายซิงแทบไม่ต่างจากเซ่าตี้แล้ว
แม้แต่องค์หญิงหลิวอิ๋ง ยังไม่ได้รับความรักมากมายจากราษฎรถึงเพียงนี้เลย
……
วังเทว
โม่เสิ่นยวนเข้าเฝ้าฮ่องเต้ พอสองพ่อลูกเจอกันก็หน้าตึง บรรยากาศค้างเกร็งทันที
“เรื่องรับสั่งพระราชทานการอภิเษก พระองค์ไม่ต้องคิดแล้ว ต่อให้รับสั่งแล้วกระหม่อมก็ไม่น้อมรับเด็ดขาด ฉู่ยุ่นเอ๋อร์ผู้นั้น มาจากไหนก็ส่งกลับไปที่นั่นเสีย มิเช่นนั้น หากเกิดอะไรขึ้นภายหน้า ใครก็ไม่อาจล่วงรู้”
“เจ้าลูกทรพี นี่เจ้ากำลังขู่ข้ารึ?”
ฮ่องเต้กริ้วจัด ฉู่ยุ่นเอ๋อร์เป็นหลานสาวแท้ๆ ของฮองเฮา หากเกิดอะไรขึ้นกับนาง ฮองเฮาจะต้องทำใจไม่ได้แน่
“พระองค์ข่มขู่กระหม่อมได้ แล้วเหตุใดกระหม่อมจะข่มขู่พระองค์ไม่ได้? กระหม่อมเรียนรู้มาจากพระองค์ทั้งนั้น”
โม่เสิ่นยวนสีหน้านิ่งเฉย น้ำเสียงราบเรียบ
“เจ้า!”
ฮ่องเต้กริ้วจนคุมตัวเองไม่อยู่
เวลานี้ ขันทียกน้ำชาเข้ามา หลังรินชาเสร็จก็ถอยร่นออกไป
ถูกขันทีขัดจังหวะเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็ไม่ทรงกริ้วอีกต่อไป ยกน้ำชาขึ้นดื่มหมดในรวดเดียว
เวลาที่เขาโมโห มักจะดื่มน้ำชาสักหน่อย นี่เป็นอุปนิสัยที่เป็นมาโดยตลอด คราวนี้ก็ไม่ยกเว้น
โม่เสิ่นยวนมองถ้วยชา ก่อนดึงสายตากลับมา มองพระพักตร์ของฮ่องเต้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา
มาอ่านเรื่องนี้ต่อค่ะ หวังว่าจะลงเนื้อหาจนจบ...
115จนถึงถึง159ไม่มีเลยค่ะลงต่อให้ครบได้มั้ยค่ะ😂...
ตอนที่ 115-159 หายไปค่ะ อ่านต่อไม่ได้อ่ะค่ะ...
115-159หายไปไหนอ่าคะ...
อัพวันละหลายๆตอนได้มั้ยค่ะ ขอบคุณค่ะ...