บัลลังก์ชายาหมอเทวดา นิยาย บท 383

สายตาของเทพธิดากู่หลิงหยุดอยู่บนใบหน้าของโม่เสิ่นยวน ยากที่จะทอดถอนอยู่เนิ่นนาน

สิ่งใดที่เรียกว่ารักข้ามพบเพียงสบตา ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้ว

บุรุษเช่นนี้ หญิงสวยแต่รูปจูบไม่หอมคนใดก็ไม่อาจคู่ควรกับเขา มีเพียงลูกรักสรวงสวรรค์อย่างตนเท่านั้นถึงจะยืนเคียงข้างเขาได้

นางระงับความชั่วร้ายอันไม่ทราบสาเหตุในส่วนลึกของหัวใจลงไป ก่อนจะคลี่ยิ้ม แล้วยกเท้าเดินไปทางโม่เสิ่นยวน

นางมั่นใจ หากชายผู้นี้เห็นนาง ก็คงจะพอๆ กับได้เห็นนางฟ้านางสวรรค์นั่นแหละ ต้องทราบก่อนว่า รูปโฉมของนาง ทั่วหล้าปฐพีนี้ ก็อยู่เป็นอันดับต้นๆ เช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้น นางคือพระธิดาแห่งแคว้นกู่โหมว เป็นสาวน้อยมหัศจรรย์ผู้เลื่องชื่อในแผ่นดินหลิงเซียว ไม่ใช่หญิงงามไร้หัวนอนปลายเท้าอันใด หากแต่เป็นดวงจันทร์ลอยเด่นเป็นสง่าอยู่บนฟากฟ้า

นางสงสัยไปถึงขั้นที่ว่า เขามาที่แคว้นกู่โหมว ก็เพื่อมาพบหน้านาง

คิดมาถึงตรงนี้ รอยยิ้มบนริมฝีปากก็เบ่งบานสดใสยิ่งกว่าเดิม

หากตนกับเขาสามารถครองคู่กันได้ ให้ขัดคำสั่งท่านพ่อเพื่อเขา ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้

"เทพธิดากู่หลิง ท่านมาทำอะไรอีก?"

เสวียนหยวนป๋ายและคนอื่นๆ เห็นเทพธิดากู่หลิงเดินเข้ามา ต่างพากันหมดสนุก น้ำเสียงพาลแข็งกระด้างเล็กน้อย

เทพธิดากู่หลิงไม่สนใจพวกเขา มองเพียงโมเสิ่นยวน เทียบกับโม่เสิ่นยวนแล้ว พวกเขานับว่าไม่มีอะไรเลย

ทว่าผ่านไปชั่วพริบตา รอยยิ้มบนมุมปากของนางก็ชะงักค้างไป

เพราะนางเหลือบไปเห็นสตรีนางหนึ่งข้างกายบุรุษผู้นั้นหันหน้ากลับมามองนาง

สตรีนางนั้นขาวนวลราวกับหยก ทั่วทั้งร่างคล้ายกับส่องแสง และดวงหน้านั้นยิ่งหมดจดไร้ที่ติ งดงามเสียจนพาให้ผู้หญิงทุกคนล้วนนึกละอายใจ

เมื่อเห็นนาง เทพธิดากู่หลิงพลันสัมผัสได้ถึงความงามสะเทือนสวรรค์ชั้นฟ้าเหมือนตอนพบองค์หญิงหงสาครั้งแรกในทันใด ไม่ใช่ว่าพวกนางหน้าตาเหมือนกันเพียงใด แต่สง่าราศรีเหนือสามัญชน คล้ายกันราวกับถอดแบบออกมา งดงามจนชวนให้นึกอัศจรรย์ใจ

เทพธิดากู่หลิงตะลึงงัน รู้สึกเกลียดชังสตรีนางนี้เข้าไส้โดยไม่รู้ตัว

จากนั้น นางก็เห็นบุรุษรูปงามดุจเทพบุตรตกสวรรค์ผู้นั้นวางมือบนหว่างเอวของสตรีนางนั้น กระซิบกับนางอย่างอ่อนโยน ไม่รู้ว่าพูดอะไร สายตาที่หญิงผู้นั้นมองนาง ดูแฝงแววล้อเลียนเล็กน้อย

นางอึ้งจนตาแตก

พวกเขาเป็นคู่รักกันอย่างนั้นหรือ?

ความในใจของตนที่เพิ่งก่อตัวขึ้นมาเมื่อครู่ เสมือนเปลวไฟลูกหนึ่งปะทะเข้ากับน้ำ ถูกสาดจนดับมอดไม่มีเหลือ

นางทำใจไม่ได้อย่างรุนแรง ใช่ว่านางจะถูกใจชายสักคนที่คู่ควรกับนางได้ง่ายๆ แต่เขากลับคบหากับหญิงอื่นไปแล้วเสียนี่

แล้วรูปโฉมของหญิงผู้นั้น ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่านางเลยสักนิด

เย่จายซิงสังเกตเห็นเจตนามุ่งร้ายยื่งยวดจากแววตาของเทพธิดากู่หลิงแล้ว เจ้าวิหคเพลิงน้อยที่กำลังจัดแต่งขนอยู่บนชายคาก็บอกนางเช่นกัน ว่าเทพธิดากู่หลิงมีเจตนามุ่งร้ายต่อนางอย่างเต็มเปี่ยม

ลิขิตสวรรค์นี่มันน่าทึ่งเสียจริง เทพธิดากู่หลิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางเป็นใคร ก็คิดอยากจะฆ่านางแล้ว

"ที่แท้ก็คือเทพธิดากู่หลิงผู้ยิ่งใหญ่เลื่องชื่อนี่เอง ได้ยินชื่อไม่เท่าได้เห็นหน้า พอมาเห็นแล้ว ก็ไม่เท่าไรเลยนี่"

เย่จายซิงเหยียดยิ้มมุมปาก เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา

นางคิดร้ายกับตนรุนแรงเพียงนี้ เช่นนั้นตนก็ย่อมไม่เกรงใจแน่นอน

เทพธิดากู่หลิงได้ยินคำนี้ ก็โกรธจนกำหมัดแน่น เอ่ยเสียงเย็นเฉียบว่า:

"เจ้าเป็นใคร ถึงได้บังอาจมาวิจารย์ข้า คนไร้สกุลรุนชาติเช่นเจ้า แค่ถือรองเท้าของข้ายังไม่คู่ควรเลยด้วยซ้ำ!"

หนานกงจิ่นและคนอื่นๆ พร้อมใจกันขมวดคิ้ว แม้ว่าเย่จายซิงจะเป็นฝ่ายยั่วยุก่อน แต่เทพธิดากู่หลิงพูดเช่นนี้ก็มากเกินไป

อีกอย่างเย่จายซิงก็เป็นสหายของพวกเขา ซ้ำการกระทำของเทพธิดากู่หลิงที่ทุบโต๊ะพังกระจายก่อนหน้านี้ ก็ทำให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าข้างเย่จายซิงกันทุกคน

หนานกงจิ่นเอ่ยว่า: "เทพธิดากู่หลิง ท่านพูดจาระวังปากด้วย สำคัญตัวให้มันน้อยๆ หน่อย!"

"หนานกงจิ่น ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ข้าสำคัญตัวที่ไหนกัน ที่ข้าพูดล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น อีกอย่างข้าก็มีพลังล้ำเลิศ นางเล่า นอกจากหน้าตา ยังมีอะไรอีก?"

เทพธิดากู่หลิงแสยะยิ้ม นางไม่คิดว่าเย่จายซิงจะมีความสามารถอันใด ดูท่าทางอ่อนแอไม่ทนลม คงต้องหลบอยู่แต่ในอกบุรุษร้องขอการคุ้มภัยเสียมากกว่า

หัวขโมยอย่างไรก็เป็นหัวขโมยอยู่วันยังค่ำ สิ่งใดที่ไม่ใช่ของนางก็จะไม่มีวันเป็นของนางอยู่ดี

ขโมยความสำเร็จของผู้อื่นไป นางยังภูมิใจได้เช่นนี้อยู่อีก ช่างไม่รู้จักละอายซะบ้างเลย

หากชาวแคว้นกู่โหมวรู้ว่าคนที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติในตอนนั้นไม่ใช่นาง แต่เป็นคนอื่น ไม่รู้ว่าในใจพวกเขาจะคิดอย่างไร

เย่จายซิงพลันอยากเห็นขึ้นมาทันใด

นางไม่รีบร้อนถอนรากทิพย์ของเทพธิดากู่หลิงแล้วล่ะ นางอยากเห็นว่าเมื่ออีกฝ่ายตกจากที่ซึ่งเป็นเสมือนหิ้งบูชา จะมีรสชาติเป็นอย่างไร

"เฮอะ! พูดขนาดนี้แล้วยังไม่ไป ข้าแนะนำว่าเจ้ามาทางไหนก็ไสหัวกลับไปทางนั้นซะ แคว้นกู่โหมวไม่ต้อนรับเจ้า!"

เทพธิดากู่หลิงพูดจาถากถาง

"งั้นหรือ?"

โม่เสิ่นยวนปลดปล่อยแรงปะทะออกมา คนโดยรอบที่ยังโกรธเคืองฮึกเหิมอย่างดุเดือดเมื่อครู่พลันหน้าถอดสีในทันใด พากันคุกเข่าลงกับพื้นอย่างพร้อมเพรียง

เทพธิดากู่หลิงกับหนานกงจิ่นและคนอื่นๆ ตะลึงกันเป็นแถบ พลังนี้ของโม่เสิ่นยวน ถึงขั้นสูงสุดของแดนมหาจักรพรรดิทิพย์แล้ว ถึงขั้นที่ดูเหมือนจะก้าวเข้าสู่แดนมกุฏทิพย์ไปครึ่งก้าวแล้วด้วย พาให้ผู้คนเกิดความรู้สึกเหนือคำบรรยาย

แต่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าบนใต้หล้ามียอดมนุษย์เช่นนี้อยู่ด้วย

"เจ้าบังอาจใช้กำลังในแคว้นกู่โหมว ราชสำนักต้องส่งคนออกมาประหารเจ้าแน่!" เทพธิดากู่หลิงตะคอก

หนานกงจิ่นหัวเราะเยาะ: "เกรงว่าเทพธิดากู่หลิงจะเข้าใจผิดแล้ว ต่อให้แคว้นกู่โหมวจะแข็งแกร่ง และมีแหล่งผงชาดมากมายเพียงใด ก็ยังต้องพึ่งพาขบวนพ่อค้าเร่จากตระกูลหนานกงของเราอยู่ดี แม่นางเย่กับคู่ครองเป็นสหายของข้า ใครก็อย่าบังอาจแตะต้องพวกเขา"

"เจ้า!"

เทพธิดากู่หลิงไหนเลยจะรู้ว่าหนานกงจิ่นจะช่วยพวกมัน นางโกรธจนหน้าประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวขาวสลับกันไปหมด

แล้วสิ่งที่เขาพูดก็เป็นความจริง ฮ่องเต้แคว้นกู่โหมวมองตระกูลหนานกงเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ แล้วจะทำร้ายสหายของเขาได้อย่างไรเล่า

แต่เมื่อเทพธิดากู่หลิงเห็นนัยน์ตาสีดำเรียบเฉยที่แฝงความเย้ยหยันอยู่ภายในของเย่จายซิง ก็กลืนความเดือดดาลไม่ลง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา