“กบฏ ไม่ตายดี!”
“สมรู้ร่วมคิดกับทูเจวี๋ย คลอดลูกชายไม่สมประกอบ!”
ซูจิ่งสิงนอนกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่บนกระดานเกวียน รับก้อนหิน มูลแพะและผักเน่าที่โยนเข้ามาทุกทิศทาง...
ยามรบชนะกลับมา เขาคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ปกป้องแคว้น ราษฎรล้วนโห่ร้องแสดงความยินดี
บัดนี้เขาถูกใส่ร้ายข้อหากบฏ ไม่เพียงไม่มีคนขอความเป็นธรรมแทนเขา ทุกคนยังร้องตะโกนใส่ กลายเป็นคนบาปที่ทุกคนตราหน้า
หันมองไปที่คนอื่น ๆ ของสกุลซู แต่ละคนเกือบซุกหน้าลงบนบ่าแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าร้องไห้น้ำตาไหลเป็นทาง “เวรกรรม สกุลซูของข้าตกต่ำถึงขั้นนี้เชียวหรือ...”
นายท่านบ้านรองซูหัวหลินอดตำหนิไม่ได้ “ล้วนต้องตำหนิจิ่งสิง อยู่ดีๆ ก็คิดไม่ตก ไปสมรู้ร่วมคิดกับกบฏขายบ้านเมือง ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า ทั้งครอบครัวล้วนต้องเดือนร้อนเพราะเขา ข้าเป็นคนรักศักดิ์ศรีที่สุด ถูกราษฎรกลุ่มนี้สบถด่า หน้าก็ไม่กล้าเงยขึ้นมาแล้ว ภายภาคหน้าจะใช้ชีวิตเยี่ยงไร!”
นับตั้งแต่ยึดทรัพย์จนถึงตอนนี้ เริ่มแรกทุกคนยังงุนงง จนถึงตอนนี้แต่ละคนก็เกิดความคิดขึ้นมาแล้ว มีทั้งคนเชื่อว่าซูจิ่งสิงมิได้ก่อกบฏ และมีคนที่ไม่เชื่อ นายท่านรองเป็นคนแรกที่มิอาจอดกลั้น
บ้านอื่นสบตากันแวบหนึ่ง ล้วนปิดปากเงียบโดยพร้อมเพรียงกัน
นางหยางฟังไม่เข้าใจว่าพวกเขาพูดเรื่องใด แต่นางอ่านคำตำหนิและรังเกียจภายในสายตาของซูหัวหลินออก หดบ่าผอมบางไม่กล้าเปล่งเสียง ดึงลูกชายลูกสาวตัวน้อย ก้มหน้าออกแรงลากเกวียนอยู่ข้างหลัง
กู้หว่านเยว่อารมณ์ไม่ดีแล้ว “มีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้ก็โขกศีรษะตายไปเสียเลย ยามท่านอยู่ดีกินดีในจวนอ๋อง เหตุใดถึงไม่แม้แต่จะผายลมเล่า?”
ยามอ่านหนังสือก็รู้แล้วว่าสกุลซูไม่สามัคคีกัน คิดไม่ถึงเพียงถูกยึดทรัพย์ คนเหล่านี้ก็ไม่มีความอดทนหลงเหลือแล้ว
หวังจะประคับประคองช่วยเหลือกันกับคนเช่นนี้ระหว่างถูกเนรเทศ ยังมิสู้แตกหักไปเสียเลย
“เจ้าเจ้าเจ้า หลานสะใภ้ เหตุใดเจ้าพูดกับผู้อาวุโสเช่นนี้?”
ซูหัวหลินเห็นว่าบ้านสามไม่มีคน ถึงกล้าบ่นออกมา คิดไม่ถึงกู้หว่านเยว่ที่มีรูปร่างบอบบาง ถึงขั้นหาญกล้าทะเลาะกับเขา?
ยังอยากพูดอะไร ฮูหยินผู้เฒ่าก็เคาะไม้เท้า โศกเศร้าเสียใจมาก “เงียบให้หมด ตกระกำลำบากแล้วครอบครัวก็ควรรวมใจเป็นหนึ่ง ใครยังทะเลาะกันข้าจะไม่ละเว้นแล้ว!”
บ้านมารดากู้หว่านเยว่คือจวนโหว นางยังมีประโยชน์
.......
ณ เนินเขาสิบลี้นอกเมือง
ภายใต้แสงตะวันแผดเผา คนหนึ่งกลุ่มเข็นเกวียนหนึ่งคันออกจากประตูเมืองอยู่ไกลๆ บ้างก็สวมชุดนักโทษ บ้างก็สวมเสื้อผ้าสกปรกมอมแมม สีหน้าด้านชา มีทั้งคนชราทั้งเด็ก คนกลุ่มนี้ก็คือสกุลซูทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่ถูกเนรเทศไปยังหนิงกู่ถ่า
ที่แห่งนี้คือสถานที่ส่งตัวนักโทษถูกเนรเทศ มีญาติจำนวนมากมารวมกันอยู่ที่นี่เพื่อร่ำลา ในมือญาติล้วนถือห่อสัมภาระทั้งใหญ่ทั้งเล็ก หวังให้คนในครอบครัวดีขึ้นบ้างระหว่างเดินทาง
สำหรับเรื่องนี้นักการในศาลาว่าการยอมหลับตาข้างลืมตาข้าง
นักโทษที่ถูกเนรเทศล้วนเป็นคนมั่งคั่งร่ำรวย แม้ถูกลงโทษทั้งตระกูล แต่มีญาติและสหายเดินทางมาหา พวกเขาสามารถอาศัยโอกาสนี้หาประโยชน์ให้ตนเองได้
สกุลซูเองก็มีญาติฝ่ายหญิงมาถึงไม่น้อยแล้ว
บ้านมารดาของบ้านใหญ่สกุลจิน และบ้านสี่สกุลหลิว ล้วนส่งอาหารและเสื้อผ้าบางส่วนมา
พี่ใหญ่บ้านมารดาของบ้านรองสกุลเฉียนยังเป็นขุนนางอยู่ในราชสำนัก แม้คนมิได้มาด้วยตนเอง แต่ของที่ส่งมามากที่สุด สัมภาระราวๆ สี่ห้าห่อใหญ่ ไว้หน้านางเฉียนอย่างเพียงพอ แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็มองนางสูงขึ้นแวบหนึ่ง
มีเพียงบ้านสามโดดเดี่ยวอ้างว้าง ไม่มีใครมาเยี่ยมแม้แต่คนเดียว
“ฮึ นางหยางนั้นช่างเถอะ บิดามารดาพี่ชายนางล้วนตายทั้งหมดแล้ว แต่เกิดอันใดขึ้นกับหลานสะใภ้คนนี้ เป็นถึงคุณหนูจวนโหวเชียวนะ ถึงขั้นไม่มาบอกลาแม้แต่คนเดียว”
สายตาแต่ละคนล้วนตกลงบนตัวกู้หว่านเยว่ ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ขมวดคิ้ว
ทันใดนั้น นางจินเปิดปากตะโกนออกมา
“พวกเจ้าดู นั่นมิใช่รถม้าของจวนโหวหรือ?”
รถม้าของจวนโหวก็มาแล้ว นั่นต้องนำของมาไม่น้อยเป็นแน่ คิ้วของฮูหยินผู้เฒ่าคลายออกแล้ว
เพียงแต่รถม้าจอดอยู่ตรงหน้า คนบนรถม้ากลับไม่ทำแม้แต่ลงมา เพียงแหวกชายผ้าพูดอย่างเสแสร้ง
“หว่านเยว่เอ๋ย แต่งงานออกจากเรือนก็ต้องติดตามสามี บัดนี้เจ้าเป็นหญิงออกเรือนแล้ว ไม่เกี่ยวอันใดกับจวนโหวแม้แต่น้อย ข้าใจดีมีเมตตา เห็นแก่เจ้าที่เป็นบุตรีของท่านโหว นำของกินมาให้เล็กน้อย หวังว่าภายภาคหน้าเจ้าจะไม่กลับมาตอแย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาแพทย์พลิกชะตา