หลังจากหวิดจะสำลักไปวูบหนึ่ง ลู่ม่านก็ส่งเสียงกระแอมไอในลำคอไปสองสามครั้ง ก่อนจะพูดว่า “เอ่อ... ข้าคิดว่าเขาคงไม่ชอบเด็กผู้หญิงกระมัง?”
“หา?” หลี่หว่านถิงมีท่าทางผิดหวังอย่างยิ่ง “จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? พี่รู้ได้อย่างไรรึ?”
ลู่ม่านรีบพูดว่า “ข้าโกหกเจ้าหรอก!”
หลี่หว่านถิงค่อยถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมาเฮือกหนึ่ง “ข้าถึงว่าสิ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ชอบเด็กผู้หญิง เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าพี่อาจ้งเคยชอบคนคนหนึ่งมาก่อน!”
เฮ้ย! เหมือนว่ากำลังจะมีเรื่องซุบซิบนินทาน่าใส่ใจสุด ๆ หลุดออกมาให้ได้ยินแล้วสิ! ลู่ม่านเลิกคิ้วแล้วถามว่า "ใครรึ?"
หลี่หว่านถิงรีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง “ข้าขอโทษ พี่ลู่ เรื่องนี้ถือเป็นข้อห้ามเด็ดขาดของพี่อาจ้ง ที่จริงข้าไม่ควรพูดออกมา!”
ลู่ม่านพยักหน้ารับรู้ "ถ้าอย่างนั้นพวกเราไม่พูดถึงแล้วดีกว่า นอกจากนี้ เจ้าอย่าไปคิดว่าเขาดีอะไรมากมายขนาดนั้นเลย นิสัยจริง ๆ ของเขาเหม็นบูดจะแย่!"
หลี่หว่านถิงส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ก่อนหน้านี้พี่อาจ้งเป็นคนดีมากเลย เป็นเพราะเรื่องเมื่อตอนนั้น ถึงได้ทำให้เขากลายเป็นคนเย็นชา อันที่จริงตลอดหลายปีมานี้ พอได้เห็นพี่อาจ้งที่เป็นแบบนี้ พวกเพื่อน ๆ หลายคนต่างก็รู้สึกเสียใจแทนเขาเช่นกัน เห็นอยู่ว่าเขาสามารถมีชีวิตที่ดีได้มากกว่านี้แท้ ๆ..... "
จู่ ๆ ลู่ม่านก็รู้สึกขึ้นมาว่าจวงลี่จ้งน่าสงสารมากจริง ๆ แต่คนคนนี้ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในโลกแบบนี้ จะมีคนสักกี่คนกันที่ไม่น่าสงสาร?
ทุกคนต่างก็มีความเศร้าโศกเสียใจของตัวเองกันทั้งนั้นใช่ไหมล่ะ? แม้แต่สาวน้อยที่เกิดมาเพียบพร้อมสมบูรณ์ตรงหน้าคนนี้ ก็ยังมีเรื่องให้ต้องทุกข์ใจเลยไม่ใช่หรือ?
“เจ้าชอบเขารึ?” ลู่ม่านถามด้วยรอยยิ้ม
“พี่ลู่!” หลี่หว่านถิงถูกพูดแทงใจดำเข้าพอดิบพอดี ใบหน้าพลันแดงก่ำ
“ถ้าอย่างนั้นไม่พูดแล้วก็ได้!”
“พี่ลู่!”
ลู่ม่าน "…." แม่สาวน้อยคนนี้เอาใจยากซะจริงแฮะ! พูดก็ไม่ได้ ไม่พูดก็ไม่ได้อีก
ลู่ม่านทำได้แค่เงียบไว้เป็นการดี คราวนี้เป็นหลี่หว่านถิงที่เป็นฝ่ายร้อนใจแทนแล้ว นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากถามขึ้นว่า “พี่ลู่ พี่รู้หรือไม่ว่าพี่อาจ้งชอบกินอะไร?”
ลู่ม่านส่ายหน้า “ข้าไม่รู้จริง ๆ แต่พอจะรู้ว่าเขากินเผ็ดไม่ได้!”
"กินเผ็ดไม่ได้!" หลี่หว่านถิงรีบจดบันทึกไว้ทันที "ข้าต้องจำไว้ให้ดี"
ลู่ม่านเห็นว่านางจริงจังขนาดนี้ อันที่จริงในใจก็นึกอยากจะเตือนนางว่า สำหรับคนอย่างจวงลี่จ้งนั่น เอาเข้าจริงไม่ใช่ว่าเจ้าดีกับเขาแล้ว ทุกอย่างมันจะสำเร็จราบรื่นหรอกนะ
แต่พอมาคิด ๆ ดูแล้ว ก็ตัดสินใจว่าไม่พูดจะดีกว่า
ตอนที่ยังเป็นเด็ก มีใครที่ไม่ฝันหวานบ้างล่ะ? การมีความฝันเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร ไม่แน่ว่า มันอาจกลายเป็นความทรงจำอันงดงามในวันข้างหน้าก็เป็นได้
ทั้งสองคุยกันต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนที่หลี่หว่านถิงจะไปส่งลู่ม่านกลับ เดิมทีลู่ม่านคิดจะเชิญหลี่หว่านถิงเข้ามานั่งเล่นในบ้านก่อน แต่หลี่หว่านถิงบอกว่ามันค่ำแล้ว ถ้ายังไม่กลับไปเดี๋ยวจะถูกท่านแม่ดุเอา
ลู่ม่านจึงไม่มีความคิดจะรั้งอีกฝ่ายให้อยู่ต่ออีก ในตอนที่กำลังลงจากรถ สาวใช้คนนั้นก็ออกมาอีกแล้ว จึงได้เห็นลู่ม่านลงมาจากรถม้าที่หรูหรามากคันหนึ่งเข้าพอดี
คนขับรถม้าคนนั้นเปล่งเสียงเรียก “จวิ้นจู่” ขึ้นมาตรง ๆ คำหนึ่ง สาวใช้คนนั้นจึงรีบถอยกลับเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว
ลู่ม่านหัวเราะเบา ๆ ดูเหมือนว่าจากนี้ไปคงโล่งหูได้แล้วแล้วล่ะ
หลังจากที่ลู่ม่านกลับเข้าบ้านไป ก็พบว่าเฉินจื่ออานกลับมาแล้ว กำลังนั่งอยู่ในโถงส่วนแรกเพียงลำพัง หันหน้าเข้าหากำแพงด้วยท่าทางเหม่อลอย
ลู่ม่านคิดว่าเขาคงเหนื่อยแล้ว จึงเดินไปพูดกับเขาว่า "ข้ากลับมาแล้ว"
เฉินจื่ออานส่งเสียงตอบรับในลำคอขึ้นมาเสียงหนึ่ง ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรอีก
หลังจากตัดสินใจแล้ว ทั้งสองคนก็นอนหลับได้ด้วยจิตใจที่สงบสุข
วันรุ่งขึ้น ทั้งสองก็ไปยังพื้นที่ว่างนอกเมืองแต่เช้าตรู่ ก่อนหน้านี้พื้นที่ว่างตรงนั้นยังพอมีพวกต้นไม้ใบหญ้าป่ารกทึบอยู่บ้าง แต่ช่วงหลายวันมานี้ พวกต้นไม้ทั้งหลายต่างก็ถูกตัดออกและเก็บกวาดจนสะอาดเตียนโล่งหมดแล้ว
ตอนที่พวกลู่ม่านไปถึงที่นั่น พวกเขาถึงค่อยพบว่าแท้ที่จริงแล้ว พิธีการของที่นี่ไม่เหมือนกับที่เคยจัดในหมู่บ้านไป่ฮัวก่อนหน้านี้ ที่แค่เอาคนสักหลาย ๆ คนมายืนรวมกันตามสะดวก ก็เป็นอันเสร็จพิธีแล้ว
เวลานี้คนที่มาล้วนเป็นบุคคลใหญ่โตมีหน้ามีตา ในจำนวนนั้นคนที่โดดเด่นเป็นอันดับต้น ๆ เลยก็คืออ๋องหนิง นอกนั้นก็ยังมีบรรดานักธุรกิจที่มีการติดต่อค้าขายกับตระกูลจวงอีกจำนวนหนึ่ง แม้ว่าลู่ม่านต่างก็ไม่ได้รู้จักพวกเขามากมายอะไรนัก แต่เมื่อมองดูจากเสื้อผ้าที่สวมใส่แล้ว ก็พอจะเดาได้ว่าต้องไม่ใช่พ่อค้าที่อยู่ในระดับธรรมดาสามัญแน่
เมื่ออ๋องหนิงเห็นเฉินจื่ออานกับลู่ม่าน ก็หัวเราะอย่างเบิกบานใจ “ครั้งก่อนที่กล่าวลา ตอนนี้ได้มาพบหน้า ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว พวกเจ้าสองคนช่วงหลัง ๆ มานี้ดูแล้วไม่เลวเลยจริง ๆ!”
“ขอให้สมดั่งคำอวยพรของอ๋องหนิงเถิดเจ้าค่ะ!” ลู่ม่านตอบตามมารยาท
“แม่นางลู่ยังคงพูดจาคล่องแคล่วฉะฉานไม่เปลี่ยนเลยจริง ๆ ข้าได้ยินท่านแม่เล่าให้ฟังว่า เมื่อหลายวันก่อนแม่นางลู่อยู่ในวัง ร่ายกลอนได้ไพเราะคมคายเจ้าบทเจ้ากลอนยิ่งนัก น้องสาวคนเล็กของข้า ก็เอาแต่พูดถึงฝีไม้ลายมือของแม่นางต่อหน้าข้าอยู่หลายครั้งหลายหน ยังบอกด้วยว่าจะไปดื่มชานมที่บ้านของแม่นาง!"
ลู่ม่านปรายตามองอ๋องหนิงเร็ว ๆ แวบหนึ่ง อ๋องหนิงคนนี้จู่ ๆ ก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เป็นไปได้ไหมว่าเขาแค่อยากทักทายเฉย ๆ? แต่มันติดอยู่ที่ว่า ทำไมฟังดูแล้วเหมือนเขาพูดเป็นนัย ๆ ว่าลู่ม่านเป็นพวกต่อหน้าเป็นอย่างหนึ่ง พอลับหลังก็เป็นอีกอย่างหนึ่งเลยล่ะ?
พวกคนที่มีตำแหน่งสูง ๆ มักจะสงสัยนั่นนี่อยู่เสมอ หรือเขาคิดว่าตนร้ายกาจเกินไป? หรือนึกสงสัยในสถานะของตนขึ้นมา? ลู่ม่านรีบก้มหน้าลงต่ำ พูดด้วยท่าทางจริงใจว่า
“เป็นพระชายาเฒ่าหนิงกับจวิ้นจู่ที่ชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ลู่ม่านก็เป็นแค่สาวชนบทคนหนึ่งเท่านั้น!”
จวงลี่จ้งพูดขึ้นมาในช่วงเวลาที่เหมาะพอดีว่า "ไหนอ๋องหนิงบอกว่าชอบซีอิ๊วของแม่นางลู่? อย่างไรก็ให้แม่นางลู่อธิบายวิธีทำให้ท่านฟังสักหน่อยน่าจะดี"
“โอ๋? ได้หรือไม่ล่ะ?” ในที่สุดอ๋องหนิงก็เปลี่ยนหัวข้อเสียที
ลู่ม่านจึงคุยรายละเอียดของกระบวนการทำส่วนใหญ่ เล่าให้อ๋องหนิงฟังไปรอบหนึ่ง ทั้งยังบอกเป็นนัยถึงคุณค่าทางยาเล็ก ๆ น้อย ๆ จำนวนหนึ่งด้วย พอดีกับที่บรรดานักธุรกิจจำนวนมากที่อยู่ที่นั่นต่างก็เริ่มรู้สึกสนใจซีอิ๊วขึ้นมาแล้ว
นี่ไม่นับว่าขาดทุนเลย ไม่แน่ว่าอาจยังอาศัยโอกาสนี้ทำเงินก้อนโต ๆ ได้อีกก้อนก็เป็นไปได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน
เป็นพอ.ที่กลับกรอก เป็นที่พึ่งไม่ได้เลย ยอกจะออกจากครอบครัวเลวๆนี่ไม่จริงอีก ภาระของนางเอก ถ่วงแข้งถ่วงขาจริงๆ...
เด็กไม่ตายเพราะแม่คลอดยากจะตายเพราะคนรับใช้ป้อนโจ๊กข้าวจนอิ่มตื้อ รอดได้คือดวงแข็งเว่อ...
อ่านไป งงไป ตัดสินประหาร หรืออภัยโทษ?...
หม่อมข้า? ใช้ MS Word ไม่ระวังเลย...
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอน 337 แล้ว โดยภาพรวมพระเอกไม่ค่อยมีเสน่ห์ ไม่เฉียบแหลมเลย...
อะไรจะมีปมขนาดนั้น วุ่นวายตอกย้ำเหลือเกินเกี่ยวกับระบบศักดินา ทั้งที่มันเป็นคนละยุคสมัยกัน...
ตอน285-287 หายทำไงดี...
ตอนหายค่ะ 284แล้วกระโดดไป288เลยค่ะ...
บท 285-287 หายค่ะ 284แล้ว288เลย รบกวนด้วยค่ะ...
281-311 รบกวนด้วยค่ะ...