ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน นิยาย บท 257

ใกล้จะถึงฤกษ์งามยามดีที่กำหนดไว้เข้ามาทุกทีแล้ว มีผู้ที่รับผิดชอบงานพิธีโดยเฉพาะเลิกจุดประทัด กระถางธูปด้านหน้าก็ถูกตั้งขึ้นเรียบร้อยแล้ว พวกลู่ม่านก้าวขึ้นไปข้างหน้าเพื่อปักธูป

จากนั้นก็เป็นอันเสร็จพิธี

เดิมทีจวงลี่จ้งยังบอกด้วยว่า เขาเตรียมอาหารสำหรับงานเลี้ยงมื้อเที่ยงเอาไว้แล้ว แต่ลู่ม่านมักจะรู้สึกว่าหลายวันมานี้ ตัวเองดูจะได้รับความสนใจมากเกินไปแล้ว ว่ากันตามจริง เรื่องแบบนี้นับว่าไม่ดีเลยสำหรับคนที่มาจากครอบครัวชนบทคนหนึ่ง

ยิ่งไปกว่านั้น งานเลี้ยงที่รวบรวมพวกเศรษฐีมีเงินมาอยู่รวมกันเป็นโขยงแบบนี้ ลู่ม่านไม่มีความรู้สึกสนใจเลยแม้แต่นิดเดียว

ฉวยโอกาสที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ลู่ม่านก็หาข้ออ้างมาบอกกับทุกคนว่า “แปลงนาทดลองที่บ้านเกิดของข้าตอนนี้ ต้องเริ่มเตรียมการขุดดินแล้ว วันนี้พวกเราจำเป็นต้องกลับไปแล้ว ไม่อาจอยู่ร่วมงานเลี้ยงกับทุก ๆ ท่านได้!”

ใช้การทำเกษตรมาเป็นเหตุผล ด้านหนึ่งก็เพื่อลดตัวเองให้มีสถานะต่ำ ส่วนคำว่า "นาทดลอง" สามคำนี้ ยิ่งทำให้พวกเขาไม่อาจปฏิเสธข้ออ้างของนางได้

ด้วยข้ออ้างที่ดูมีน้ำหนักถึงสองด้านนี้ ลู่ม่านจึงสามารถแยกตัวออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ

หลังจากออกมาแล้ว เดิมทีลู่ม่านกับเฉินจื่ออานวางแผนว่าจะไปหยาหาง ผลปรากฏว่าเด็กรับใช้ของจวงลี่จ้งรีบวิ่งไล่ตามพวกเขามาจนทัน

“แม่นางลู่ ท่านเฉิน โปรดช้าก่อน คุณชายของเราบอกว่าขอพวกท่านอย่าเพิ่งไป ช่วงค่ำ ๆ หน่อยเขาจะไปหาที่บ้าน ยังมีเรื่องที่ต้องคุยด้วยอีกนิดหน่อยขอรับ”

ลู่ม่านพยักหน้ารับ จากนั้นจึงยึดตามแผนเดิมคือไปที่หยาหาง

เมื่อทางหยาหางได้ยินว่านางอยากจะซื้อคนสักครอบครัวหนึ่ง ก็เรียกคนกลุ่มหนึ่งออกมาทันที "เมืองหลวงแห่งนี้ก็เป็นแบบนี้เอง ทุกวันต่างมีคนร่ำรวยมั่งคั่ง แล้วทุกวันก็มีคนที่สิ้นเนื้อประดาตัวจนต้องขายตัวเองเช่นกัน"

นี่คือความโหดร้ายของโลกใบนี้สินะ! ลู่ม่านไม่ได้พูดอะไร

มีคนสามกลุ่ม กลุ่มแรกมีสามีภรรยา รวมถึงลูกอีกหนึ่งคน เป็นครอบครัวสามคนตามมาตรฐานที่พบเห็นได้ทั่วไป

เมื่อพวกเขาเห็นลู่ม่าน ผู้ใหญ่สองคนก็ขดตัวลงเหมือนกับทำจนเป็นนิสัย กลับกันฝ่ายเด็กน้อยคนนั้น ใช้ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยน้ำวาววับคู่นั้น มองมาที่ลู่ม่านอย่างใสซื่อ

ลู่ม่านไม่สามารถต้านทานดวงตาที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเด็ก ๆ ได้ นางยื่นมือไปลูบหัวเด็กน้อยเบา ๆ อย่างไม่รู้ตัว "อายุเท่าไหร่แล้วรึ?"

“หกขวบ....”

เด็กน้อยคนนั้นยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกหญิงสาวปิดปากไว้ทันที “อย่าพูดจาเหลวไหล รีบโขกหัวคำนับท่านผู้สูงศักดิ์เดี๋ยวนี้”

“อย่า!” ลู่ม่านรีบยื่นมือไปห้ามไว้ “เด็กยังเล็กอยู่มาก อย่าทำอย่างนี้”

เมื่อหญิงสาวคนนั้นได้ยินคำพูดประโยคนี้ ก็มองลู่ม่านด้วยแววตาลึกซึ้งแวบหนึ่ง ราวกับว่านางได้เห็นสิ่งของแปลกประหลาดอะไรบางอย่างบนตัวลู่ม่านก็ไม่ปาน ในใจของลู่ม่านกลับรู้สึกขมขื่นขึ้นมา เห็นแววตาของนางก็รู้ว่ากำลังตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด

หรือว่านางไม่เคยถูกคนอื่นเคารพมาก่อน?

ครอบครัวที่สองดูเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก ดูไปแล้วเหมือนว่าพวกเขามักจะได้ทำงานในตระกูลของพวกผู้ดีมีเงิน พอมาถึงก็แนะนำตัวเองอย่างกระตือรือร้นทันที

ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวสี่คน มีลูกชายที่ดูเหมือนอายุราว ๆ สิบหกสิบเจ็ดเห็นจะได้ ยังมีลูกสาวตัวเล็ก ๆ อีกคนหนึ่ง

“ฮุหยินท่านนี้ โปรดเลือกพวกเราเถอะ ภรรยาของข้าเคยเป็นแม่ครัวของตระกูลเศรษฐีใหญ่มาก่อน ข้าเป็นคนเฝ้าประตู มีเรี่ยวแรงดี ลูกชายคนเล็กของข้าก็สามารถรับจัดการธุระแทนได้ด้วย....”

ลู่ม่านถามอย่างคร่าว ๆ ว่า “บ้านของเจ้านายคนก่อนเป็นอย่างไรบ้างรึ?”

“เจ้านายคนก่อนรุนแรงเกินไปขอรับ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นพวกเราก็คงไม่ออกมา แต่ท่านดูไม่เหมือนเลย แค่เห็นแวบแรกก็รู้ได้ทันทีว่าท่านเป็นคนใจดีมีเมตตา....”

ผู้ชายคนนั้นพูดประจบสอพลอชนิดน้ำไหลไฟดับ ปากพูดประจบไปพลาง ก็พูดจาลดคุณค่าเจ้านายคนก่อนให้ต่ำลงไปพลาง ลู่ม่านคิดว่า บางทีรอจนวันหนึ่งที่เขาไปแล้ว ก็อาจพูดจาลดคุณค่านางให้ต่ำลงด้วยสินะ? ความรู้สึกแบบนี้เป็นอะไรที่ไม่ดีเลยจริงๆ

ยิ่งไปกว่านั้น ลู่ม่านก็ไม่ค่อยชอบสายตาของผู้ชายคนนั้นเท่าไหร่ มันดูหลุกหลิกไปมา ดูแล้วให้ความรู้สึกไหลลื่นเจ้าเล่ห์ไปหน่อย

ครอบครัวที่สามเป็นคู่สามีภรรยาหนุ่มสาว ลู่ม่านจงใจข้ามไปเลยโดยตรง สุดท้าย นางก็วกกลับมาที่ครอบครัวแรก ก่อนจะถามว่า “พวกเจ้าเพิ่งออกมาทำงานกันเป็นครั้งแรกใช่หรือไม่?”

“ก่อนหน้านี้เคยมีเจ้านายคนหนึ่งเจ้าค่ะ” หญิงสาวพูดอย่างระมัดระวัง

“บ้านของเจ้านายคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?” ลู่ม่านถามคำถามเดิมอีกครั้ง

ผู้ชายคนนั้นก็พูดขึ้นว่า “เป็นเจ้าสัวหวังน่ะขอรับ สามร้อยเหวินนับว่าเป็นเงินต้นเมื่อไม่กี่วันก่อน มาตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็นแปดร้อยเหวินแล้ว หากว่าเรายังไม่จ่ายคืนอีก ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ก็อาจเพิ่มขึ้นเป็นเก้าร้อยเหวินแล้วก็ได้.....”

นี่มันดอกเบี้ยเกินอัตราเห็น ๆ เลยไม่ใช่เรอะ! ลู่ม่านตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างไปหมดแล้ว

“หมายความว่าจากนี้ พวกเจ้ายังต้องกลับไปใช้หนี้ก่อนสินะ?” ลู่ม่านถาม

“ไม่หรอกเจ้าค่ะ พวกเขามารออยู่นอกประตูเรียบร้อยแล้ว” ผู้หญิงคนนั้นตอบ เมื่อลู่ม่านได้ยิน ดังนั้น ก็ปรายตามองออกไปนอกประตูแวบหนึ่ง เห็นแค่ชายสองคนที่หน้าตาดูแล้วโหดร้ายชั่วช้าไม่น้อย กำลังกวาดตามองไปรอบ ๆ ไม่หยุด

ลู่ม่านรู้สึกโกรธเล็กน้อย “พวกเจ้าก็ให้พวกเขาไปง่าย ๆ น่ะรึ? ทำไมไม่ไปแจ้งความล่ะ?”

“แจ้งความไปก็ไม่มีประโยชน์ หากว่ามันมีประโยชน์จริง ๆ ทำไมพวกเรายังต้องมาขายตัวเองแบบนี้ด้วยล่ะ? บ้านเจ้าของที่ดินคนนั้นมีญาติอยู่ในศาลต้าหลี่ ต่อให้พวกเราไปร่ำร้องจนสะท้านฟ้าสะเทือนดินก็ไม่มีประโยชน์หรอก ฮูหยิน ขอท่านอย่าได้ใส่ใจเรื่องนี้อีกเลย พวกเรายอมรับชะตากรรมแล้ว ตอนนี้พวกเราหวังแค่ว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข จากนี้ก็ต้องขอความเมตตาจากฮูหยินแล้วขอรับ”

ในที่สุดลู่ม่านก็ไม่พูดอะไรอีก แค่มอบเงินออกไปก่อนจะลงนามในสัญญาซื้อขาย จากนั้น ผู้ชายคนนั้นก็นำเงินแปดร้อยเหวิน ไปมอบให้กับชายหน้าตาชั่วร้ายสองคนที่ยืนอยู่ข้างนอก

สองคนนั้นรับเงินแล้ว ก็เดินจากไปด้วยท่าทางพอใจ ผู้ชายคนนั้นจึงกลับมา ทั้งครอบครัวพากันคุกเข่าลงตรงหน้าลู่ม่านและเฉินจื่ออาน

“นายท่าน ฮูหยิน บุญคุณอันยิ่งใหญ่ของพวกท่าน ข้าเถียนโหย่วเต๋อทั้งครอบครัว จะตอบแทนพวกท่านให้ดีอย่างแน่นอนขอรับ”

เฉินจื่ออานรีบเข้าไปช่วยพยุงทั้งสามคนให้ลุกขึ้นทันที "ไปเถอะ กลับไปกันดีกว่า!"

เถียนหวังซื่อภรรยาของเถียนโหย่วเต๋อ มีลูกชายชื่อเสี่ยวหู่ หลังจากกลับไปแล้ว พวกเขาทั้งครอบครัวก็แนะนำตัวเองใหม่อีกครั้ง

หลังจากที่ลู่ม่านเข้าใจอย่างชัดเจนดีแล้ว ก็บอกพวกเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ของครอบครัวตัวเองให้ฟังรอบหนึ่ง

พอทั้งสามคนรู้ว่าพวกเขาจะต้องมาอยู่เฝ้าบ้านที่นี่ ในใจก็พลันรู้สึกผ่อนคลายลงไปได้มาก ไม่จำเป็นต้องคอยดูแลรับใช้เจ้านาย ถึงแม้จะอยู่ในเรือนคนรับใช้ด้านหลัง แต่ก็ยังดีกว่าบ้านในชนบทมากทีเดียว

นอกจากนี้ พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าเสี่ยวหู่จะถูกพวกลูก ๆ ของเจ้านายคนก่อนทุบตีรังแกอีกต่อไป

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน