“ท่านอ๋อง!” ลู่ม่านตัดบทคำพูดของอ๋องหนิงทันที “แต่ไหนแต่ไรมา ท่านก็เมตตารักใคร่ห่วงใยประชาชนมาตลอด กลุ่มผู้ก่อจลาจลเหล่านี้แท้จริงก็ไม่ใช่คนเลวอะไร พวกเขาแค่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปถึงได้ทำแบบนี้ ทำไมท่านไม่ฉวยโอกาสจากตอนนี้ที่พวกเขามัวแย่งชิงอาหารกันอยู่ รีบหนีออกไปจากที่นี่ล่ะ?”
เมื่อครู่อ๋องหนิงเพิ่งถูกกลุ่มผู้ก่อจลาจลปล้นชิง สูญเสียสติสัมปชัญญะไปหมดแล้ว ในหัวจึงมีแต่ความกระหายเลือดอยากใช้ความรุนแรงเต็มที่
“อยู่ต่อหน้าข้า เมื่อไหร่ที่มันถึงคราวให้ผู้หญิงอย่างเจ้าสอดปากพูดได้แล้ว?”
ขณะที่กำลังพูด จู่ ๆ หรูเฟิงก็ตะโกนขึ้นมาว่า “คนพวกนั้นมาอีกแล้ว”
สีหน้าของอ๋องหนิงแข็งค้าง ลู่ม่านรีบพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “รีบโยนอาหารแห้งออกไปเร็ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น พวกทหารก็รีบโยนอาหารแห้งออกไป กลุ่มผู้ก่อจลาจลก็เริ่มเข้ามาแย่งชิงกันอย่างบ้าคลั่งรอบใหม่ เฉินจื่ออานรีบพูดว่า "ขึ้นรถแล้วรีบหนีไปเร็วเข้า"
ทุกคนไม่สนใจความคิดของอ๋องหนิงแล้ว รีบโดดขึ้นรถทันที แล้วหนีไปอย่างรวดเร็ว
รอจนกระทั่งหนีมาได้ไกลพอสมควรแล้ว ยังคล้ายว่าจะได้ยินเสียงกลุ่มผู้ก่อจลาจลแย่งชิงอาหารกันดังแว่วมาเข้าหูไม่หาย
ในใจลู่ม่านยังนึกกลัวไม่หาย "ดูไปแล้วเหมือนว่า ภัยน้ำท่วมครั้งนี้จะรุนแรงมากจริง ๆ จื่ออาน เกรงว่าช่วงสองสามวันนี้พวกเราจะหยุดพักไม่ได้แล้วล่ะ ทางที่ดีเราควรเร่งม้าให้เต็มที่ เดินทางให้เร็วขึ้นอีกหน่อยจะดีกว่า"
“อื้ม ใช่แล้ว!” เฉินจื่ออานตอบรับ
ทางด้านอ๋องหนิง หลังจากที่สงบจิตสงบใจลงได้ เขาก็ไม่แสดงท่าทางสูญเสียสติและเหตุผลเหมือนเมื่อวันนั้นอีก ทั้งคณะเร่งม้าเดินทางยาวนานถึงสี่วัน ในที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทางจนได้
ตำบลนี้อยู่ห่างจากเมืองหลวงกว่าหมู่บ้านไป่ฮัวมาก เนื่องจากคนในยุคก่อนต่างก็ต้องพึ่งพาและอาศัยอยู่ตามริมแม่น้ำ ดังนั้นทุกปีเมื่อถึงฤดูร้อนจึงมักเกิดภัยน้ำท่วม
ด้วยเหตุที่ว่าพื้นที่เพาะปลูกของที่นี่ก็ทุรกันดารมาก ชีวิตแต่ละวันของชาวบ้านเหล่านี้ เมื่อเทียบกับหมู่บ้านไป่ฮัว ยิ่งยากจนเข็ญใจกว่ามาก
ทุก ๆ ปี ราชสำนักจะส่งคนลงมาจัดการกับภัยน้ำท่วมและบรรเทาสาธารณภัย แต่น้ำท่วมก็ยังคงเกิดขึ้นทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น้ำท่วมในปีนี้ร้ายแรงยิ่งกว่าทุก ๆ ปีที่ผ่านมา ในที่สุดก็ได้รับความสนใจจากราชสำนักเสียที
หลังจากที่ทุกคนมาถึงแล้ว ก็พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมในตำบล เพิ่งจัดแจงที่พักเสร็จ ก็มีผู้ดูแลประจำท้องถิ่นมาขอความช่วยเหลืออย่างรีบร้อน
“อ๋องหนิง ในที่สุดข้าน้อยก็ได้พบท่านดั่งที่หวังเสียที เมื่อเช้านี้ที่เขื่อนเพิ่งจะเกิดเหตุหน้าดินถล่มครั้งใหญ่อีกครั้งแล้ว ชาวนาที่ไปช่วยกันซ่อมเขื่อน บาดเจ็บล้มตายไปถึงสี่สิบแปดคน…”
ลู่ม่านสูดลมหายใจเย็นเยือกเข้าไปลึก ๆ เฮือกหนึ่ง แล้วพูดขึ้นทันทีว่า “รีบพาข้าไปดูหน่อย”
เป๋าจ่าง*(ผู้ดูแลประจำตำบล)คนนั้นชะงักไป มองลู่ม่านด้วยท่าทางสงสัย "ท่านคือ……"
“นี่คือผู้บุกเบิกการควบคุมทางน้ำที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งมา!” อ๋องหนิงพูดด้วยท่าทีเหน็บแนมน้อย ๆ "พอดีเลย ผู้บุกเบิกจะต้องช่วยแก้ปัญหาให้พวกเจ้าได้อย่างแน่นอน"
เป๋าจ่างขมวดคิ้วมุ่น “แต่ว่า....”
เฉินจื่ออานเห็นดังนั้น ก็รีบพูดว่า “เป๋าจ่าง ไปกันเถอะ!”
เป๋าจ่างหันไปมองเฉินจื่ออานด้วยความสงสัยอีกคน "เจ้าคือ?"
“ข้าเป็นรองผู้ช่วย ถ้าหากท่านมีอะไรที่ไม่เข้าใจ สามารถถามข้าได้เลยโดยตรง!”
ในที่สุดเป๋าจ่างก็นับได้ว่าวางใจลงมาได้นิดหน่อย อย่างน้อยท่านรองผู้ช่วยคนนี้ก็ดูเหมือนจะมีพละกำลังดีใช้ได้ น่าจะช่วยงานได้ไม่น้อย
“เช่นนั้นพวกเรารีบไปดูกันเถอะ” พูดจบ ก็พาลู่ม่านกับเฉินจื่ออานออกไปทันที
ทันทีที่ออกจากตำบล ก็เห็นภูเขาลูกใหญ่ที่สวยงามมากลูกหนึ่ง ซึ่งแบ่งตัวตำบลออกเป็นสองส่วน
“นี่คือภูเขาเหลี่ยงวั่ง และยังเป็นภูเขามงคลของตำบลเราด้วย” เป๋าจ่างพูด
"งดงามมากจริง ๆ" ลู่ม่านชมอย่างจริงใจ
อ้อมผ่านภูเขาเหลี่ยงวั่ง พวกเขาขับรถต่อไปราว ๆ ครึ่งชั่วยาม ถึงค่อยมองเห็นแม่น้ำใหญ่สายนั้นได้เต็มตา
เมื่อเห็นเช่นนั้น เฉินจื่ออานก็รีบตะโกนออกไปว่า “ฝนใหญ่กำลังจะมาแล้ว ที่ริมเขื่อนอันตรายเกินไป นี่คือใต้เท้าผู้บุกเบิกคนใหม่ ไม่ว่าอย่างไร ความปลอดภัยของทุกคนคือสิ่งสำคัญที่สุด”
พอเปลี่ยนเป็นผู้ชายพูด ผลลัพธ์ที่ออกมากลับดีกว่ามากจริง ๆ เพียงไม่นาน ทุกคนก็พากันวิ่งหนี
ลู่ม่านค่อยถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกได้ ก่อนจะคว้าตัวเป๋าจ่างที่ยังคงคุกเข่าพึมพำอยู่บนพื้นขึ้นมา “ไปเถอะ พาข้าไปดูที่ภูเขาเหลี่ยงวั่งหน่อย”
เป๋าจ่างถึงกับผงะ "ท่านคิดจะทำอะไร?"
ลู่ม่านไม่สนใจเขา ทั้งสามคนขึ้นรถอีกครั้ง เดินทางกลับไปตามถนนที่เป็นดินโคลนเหลว ๆ
เนื่องจากฝนตก ถนนจึงลื่น การเดินทางกลับไปจึงต้องใช้พละกำลังมากกว่าตอนแรก หลังจากเดินทางมาได้เกือบชั่วยาม ในที่สุดก็มาถึงภูเขาเหลี่ยงวั่งจนได้
หลังจากการสังเกตภูเขาลูกนี้อย่างใกล้ชิด ลู่ม่านจึงค้นพบว่า ที่แท้สาเหตุหลักที่ภูเขาลูกนี้ชื่อว่าภูเขาเหลี่ยงวั่ง(สองความรุ่งเรือง) ก็เพราะว่าแท้จริงแล้ว มันคือภูเขาสองลูกที่เชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียว ตรงกลางล้วนเป็นก้อนหินใหญ่ยักษ์ เข้ารูปกันได้แบบลงตัวพอดี
จากนั้นที่ด้านบนสุด ก้อนหินใหญ่ยักษ์ก็แยกออกเป็นเนินเขาสองแห่ง ทำให้ภูเขาเหลี่ยงวั่ง (สองความรุ่งเรือง) สามารถเรียกได้อีกอย่างว่าภูเขาเหลี่ยงวั่ง (สองเนตรประสาน)
ลู่ม่านมองไปพลางพูดไปพลางว่า “จากเขื่อนมาถึงที่นี่ มีทางน้ำไหลหรือไม่?”
เป๋าจ่างพยักหน้า "มีขอรับ!" ก่อนหน้านี้เพื่อจะรดน้ำพืชผลในพื้นที่การเกษตรของตำบล พวกเราจะเปิดประตูกักน้ำเพื่อปล่อยให้น้ำไหลออก ย่อมต้องมีทางน้ำไหล! “หลังจากพูดจบ จู่ ๆ เขาก็ตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “คงไม่ใช่ว่าท่านคิดจะเปิดประตูเพื่อปล่อยน้ำออกไปหรอกนะ? นั่นเป็นไปไม่ได้หรอก ในอดีตทางน้ำไหลของเราจะปล่อยน้ำในระดับน้อย ๆ แค่ให้เพียงพอต่อการรดน้ำพืชผลในพื้นที่การเกษตร ถ้าท่านระบายน้ำออก ตำบลของเราก็คงจะจบสิ้นแล้วจริงๆ!"
“แต่ถ้าไม่ระบายน้ำท่วมออก รอจนเขื่อนแตกจนน้ำในนั้นไหลทะลักออกมา พวกเจ้าก็ไม่ใช่ว่าต้องจบเห่เหมือนกันหรอกรึ!” ลู่ม่านพูดแบบไม่เกรงใจเลยสักนิด
เป๋าจ่างถูกว่าให้จนสะอึกไปครู่หนึ่ง แต่ก็ยังพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะหยุดนาง “ไม่ได้ อย่างไรก็ไม่ได้ ต่อให้อ๋องหนิงได้รู้เรื่องนี้แล้ว ก็ไม่มีวันยอมแน่ แม้ว่าตำบลของพวกเราจะเจริญรุ่งเรืองสู้ตำบลอื่นไม่ได้ แต่ก็ยังมีประชากรหลายหมื่นคน ที่ราชสำนักให้ท่านมาที่นี่ ก็เพื่อให้มาช่วยบรรเทาภัยพิบัติ ไม่ใช่ให้มาเพิ่มภัยพิบัตินะ!"
เป๋าจ่างพูดจนถึงตอนท้าย น้ำเสียงแทบจะเรียกได้ว่าโกรธกรุ่นไม่น้อย
ลู่ม่านขมวดคิ้ว “ข้าก็ไม่ได้บอกสักหน่อยนี่ ว่าจะระบายน้ำท่วมโดยตรง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน
เป็นพอ.ที่กลับกรอก เป็นที่พึ่งไม่ได้เลย ยอกจะออกจากครอบครัวเลวๆนี่ไม่จริงอีก ภาระของนางเอก ถ่วงแข้งถ่วงขาจริงๆ...
เด็กไม่ตายเพราะแม่คลอดยากจะตายเพราะคนรับใช้ป้อนโจ๊กข้าวจนอิ่มตื้อ รอดได้คือดวงแข็งเว่อ...
อ่านไป งงไป ตัดสินประหาร หรืออภัยโทษ?...
หม่อมข้า? ใช้ MS Word ไม่ระวังเลย...
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอน 337 แล้ว โดยภาพรวมพระเอกไม่ค่อยมีเสน่ห์ ไม่เฉียบแหลมเลย...
อะไรจะมีปมขนาดนั้น วุ่นวายตอกย้ำเหลือเกินเกี่ยวกับระบบศักดินา ทั้งที่มันเป็นคนละยุคสมัยกัน...
ตอน285-287 หายทำไงดี...
ตอนหายค่ะ 284แล้วกระโดดไป288เลยค่ะ...
บท 285-287 หายค่ะ 284แล้ว288เลย รบกวนด้วยค่ะ...
281-311 รบกวนด้วยค่ะ...