เมื่อได้ยินเสียงความคิดดังอยู่ใกล้ๆ เฮ่อเหลียนเย่ว์ก็มองซือหลิงหลงที่อยู่ในอ้อมแขนอีกครั้งด้วยความรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างไม่มีเหตุผล
เขาผลักอีกคนออกอย่างรุนแรง ใบหน้าหล่อเหลาของเฮ่อเหลียนเย่ว์ตีหน้าขรึม เขาพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “นางคนเงอะงะ ไม่ต้องมาปรนนิบัติข้า”
ซือหลิงหลงที่ถูกผลักออกอย่างกะทันหันได้แต่คิดว่าชายคนนี้ประหลาดจริงๆ
‘เห็นแก่โรคร้ายแรงที่ท่านเป็น ฉันจะไม่ถือสาท่านแล้วกัน!’
ซือหลิงหลงคิดในใจก่อนจะถอยไปอีกฟากหนึ่ง เมื่อนางกำนัลที่อยู่ข้างๆ เห็นเข้า นางก็รีบเข้ามาเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เฮ่อเหลียนเย่ว์ทันที เฮ่อเหลี่ยนเย่ว์มองความดีใจที่ซ่อนอยู่ในแววตาของนางกำนัลผู้นั้น
เมื่อครู่นางคิดในใจว่าหลางกุ้ยเหรินไม่สมควรได้เชิดหน้าชูตางั้นหรือ
ตาหงส์ฉายแววเย็นชา จากนั้นเขาก็โบกมืออย่างไม่ลังเลและสั่งอย่างเย็นชาว่า
“ถอยไป”
หลังจากพูดจบเขาก็ผูกสายคาดเอวด้วยตัวเอง ฝูไท่จึงรีบเข้ามามัดหยกและกระเป๋าติดตัวทั้งหมดให้เขา ผ่านไปไม่นานเฮ่อเหลียนเย่ว์ก็จัดชุดให้เข้าที่และยกขาขึ้น ขณะที่เขาเดินผ่านนางกำนัลที่คิดจะทำอะไรบางอย่างเมื่อครู่ ฝีเท้าของเขาก็หยุดชะงัก
เมื่อเห็นเช่นนี้นางกำนัลผู้นั้นก็นิ่งไป ในขณะที่นางกำลังจะแสดงความดีใจออกมาบนใบหน้านางก็เห็นเฮ่อเหลียนเย่ว์มองนางอย่างเย็นชาก่อนจะเอ่ยคำพูดที่เหมือนสายฝนในอากาศอันหนาวเหน็บ
“ไม่ต้องเก็บนางผู้นี้ไว้แล้ว ส่งกลับไป”
แม้ว่าสนมเอกของเขาจะเชิดหน้าชูตาไม่ได้แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่นางกำนัลรับใช้ต้องพูด
แม้จะพูดในใจก็ไม่ได้
เมื่อพูดจบเฮ่อเหลียนเย่ว์ก็ยกเท้าและเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามอง ยังไม่ทันที่นางกำนัลผู้นั้นจะได้โต้ตอบ ขันทีสองคนที่อยู่ข้างๆ ก็เข้ามาจับแขนซ้ายและแขนขวาของนาง
ใบหน้าของนางกำนัลแสดงความตกใจออกมาทันที นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางทำอะไรผิดถึงทำให้ฮ่องเต้ขุ่นเคือง
นางอยากจะร้องขอความเป็นธรรมแต่เมื่อมองเบื้องหลังของเฮ่อเหลียนเย่ว์ นางก็ไม่กล้าเอ่ยแม้แต่คำเดียว
ฮ่องเต้บอกแค่ว่าให้ส่งนางกลับเท่านั้น แต่ถ้านางกล้าโวยวายและไม่ยอมทำตามเกรงว่าจุดจบอาจจะเลวร้ายยิ่งกว่านี้
นางทั้งโศกเศร้าทั้งน้อยใจในโชคชะตาแต่ก็ทำได้เพียงปล่อยให้ขันทีพานางลงไปเงียบๆ
ซือหลิงหลงที่ได้เห็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดครั้งนี้ด้วยตาตัวเองก็ตะลึงไปครู่ใหญ่ก่อนจะบ่นในใจช้าๆ ว่า
‘กลัวแทบตายแล้วเนี่ย ตอนที่ได้ยินประโยคที่ว่าไม่ต้องเก็บไว้ก็นึกว่าไอ้ฮ่องเต้บ้าเบื่อจนอยากฆ่าใครสักคนเพื่อผ่อนคลายซะแล้ว สงสัยฉันคงคิดว่าเขาโรคจิตเกินไปหน่อย’
เฮ่อเหลี่ยนเย่ว์ที่เดินมาถึงประตูได้ยินเสียงความคิดของซือหลิงหลง ทันใดนั้นฝีเท้าหนักแน่นที่กำลังจะข้ามธรณีประตูก็สะดุดจนเกือบจะล้มลง
ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมทันที
สตรีนางนี้ไม่สมควรได้รับการปฏิบัติดีๆ ด้วยเลย!
น่าหงุดหงิดจริงๆ
เฮ่อเหลียนเย่ว์นอนหลับไม่สนิทและเช้านี้เขาก็อารมณ์ไม่ดี เขาต่อว่ารัฐทายาทลี่อ๋องอย่างไม่มีเหตุผลจนอัครเสนาบดีไป๋และติ้งซานกงที่เตรียมคำพูดมามากมายไม่กล้าพูดอะไรไปชั่วขณะ
ลูกสาวสำคัญก็จริง แต่ก็ไม่มีใครโง่พอที่จะเสนอหน้าไปรับความโชคร้าย
อย่างไรแล้วการถูกขังในตำหนักเย็นสองวันก็ไม่ทำให้ตาย รอให้ความโมโหของฮ่องเต้ผ่านพ้นไปแล้วค่อยว่ากันอีกที
ทั้งสองอยากเลี่ยงคมดาบสักพัก แต่เฮ่อเหลียนเย่ว์ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะกำจัดพวกคนเฒ่าคนแก่ที่อาจรวมตัวกันต่อต้านเขาในอนาคต
แต่เขารู้ดีว่าไม่ว่าจะเป็นลี่อ๋อง อัครเสนาบดีหรือติ้งซานกง ตำแหน่งในราชสำนักของพวกนั้นล้วนไม่อยู่ในสถานะที่เขาจะจัดการได้ตามใจชอบ
คงต้องค่อยๆ กำจัดไปทีละคน
ขณะที่เฮ่อเหลียนเย่ว์เริ่มพิจารณาเรื่องการจัดการขุนนาง ซือหลิงหลงกำลังคิดแทนหัวอกคนเป็นพ่ออย่างอัครเสนาบดีไป๋ ว่าจะวางแผนช่วยไป๋เชียนเชียนออกจากตำหนักเย็นได้อย่างไร
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ สายตาของเธอก็จับจ้องไปที่สุนัขจิ้งจอกตัวอ้วนที่กำลังนอนหลับสบายบนเก้าอี้บุนวมริมหน้าต่าง หลังจากจ้องมันอยู่ครู่ใหญ่ซือหลิงหลงก็คิดในใจ
‘เจ้าจิ้งจอกตัวนี้อ้วนจริงๆ เลย’
...
ภายในตำหนักเซวียนเจิ้ง เฮ่อเหลียนเย่ว์กำลังยุ่งอยู่กับการอ่านสาสน์ เมื่อได้ยินเสียงนางกำนัลเข้ามาเขาก็หยุดพู่กันหมึกสีแดงในมือและขมวดคิ้วเล็กน้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฮ่องเต้คลั่งรักมัดใจสนมตัวร้าย