ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่ นิยาย บท 1109

ความรู้สึกของเย่เทียนในตอนนี้เหมือนมีไฟกำลังเผาอยู่ภายในตัว อุณหภูมิที่สูงมากทำให้เขาอยากตะโกนให้ลั่นออกมา แต่กลับไม่มีปัญญาออกเสียงได้

จึงกลายเป็นเหมือนตกอยู่กับฝันร้าย ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็เหนื่อยเปล่า

ในจิตสำนึกของเขานั้น ไม่ว่าจะแหกปากร้องยังไงก็ไม่ได้มีเสียงสะท้อนใด ๆ นอกเพียงแต่ความมืดที่ไม่มีที่สิ้นสุด ในสภาพการณ์แบบนี้มีแต่จะทำให้บ้าหลุดโลกไปเลย

เย่เทียนไม่ใช่คนที่โง่ เมื่อได้ตรวจวิเคราะห์เห็นความผิดปกติแล้วก็แยกแยะได้ว่าสภาพที่ตัวเองเป็นอยู่นั้นอันตรายสุด ๆ  จึงได้ฝืนตัวให้หยุดอยู่ในความสงบ

พยายามสุด ๆ ที่จะดึงจิตให้ผสานเข้ากับร่างกายของตัวเอง

และในเวลานั้นเอง เงาร่างคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่ตรงหน้าเย่เทียน เห็นชัดถึงอีกฝ่ายคนนั้นแล้วเย่เทียนถึงกับขยับมุมปาก ไม่ใช่มั้ง!

เงาร่างนั้นไม่ใช่ใครอื่น ท่านจ้าวนั่นเอง

เพียงแต่ว่าที่เห็นเป็นเงาร่างเลื่อนลอยของท่านจ้าว สองตาปิดหลับแน่น ลักษณะภูมิฐานสูงส่ง

ที่อยู่ข้างหน้าท่านจ้าว เย่เทียนประหลาดใจอย่างสุด ๆ ที่เห็นเงาร่างนั้นเป็นตัวเขาเอง และแล้วท่านจ้าวลืมตาขึ้น เห็นภาพเหตุการณ์นี้แล้วเย่เทียนเหมือนกับเข้าใจถึงอะไรบางอย่าง

เงาร่างทั้งสองได้ทำการต่อสู้กันขึ้นมาที่ข้างหน้าเขา ไม่ต้องสงสัย นั่นเป็นภาพสำนึกจิตตอนที่ท่านจ้าวกำลังใช้ความรุนแรงขืนบังคับเขา แต่ว่ามันน่าแปลกใจที่ว่าทำไมจิตสำนึกนี้มาเกิดเป็นภาพให้เห็นตอนนี้ได้?

กับความรู้สึกในการสัมผัสที่ถูกขืนบังคับในครั้งนั้น แต่ในครั้งนี้เย่เทียนอยู่ในมุมมองของบุคคลที่สามทั้งเหตุการณ์ ทำให้การใช้วิชาฝ่ามือจ้งเหินไป่เหอได้เพิ่มความเข้าใจก้าวหน้าขึ้นไปอีก

โดยเฉพาะด้วยกรรมวิธีการเดินพลังปราณของวิชาฝ่ามือจ้งเหินไป่เหอทำให้เย่เทียนได้เข้าสู่ห้วงความคิด

เย่เทียนนั้นเป็นคนชาญฉลาดอยู่ ไม่งั้นคงไม่ได้มีพลังฝีมือได้อย่างปัจจุบัน คนอื่นที่มองเห็นเขาผ่านทุกสิ่งทุกเรื่องเหมือนราบรื่นตลอด ประสบพบแต่โชคอำนวยให้อย่างที่สุด แต่ไม่มีใครรู้ว่าพรสวรรค์ที่เขารับมานั้นน่ากลัวยังไง ไม่รู้ว่าเขาต้องรองรับความเจ็บปวดมาขนาดไหนถึงจะได้มีพลังฝีมือได้อย่างทุกวันนี้

ไม่มีความโชคดีอะไรที่จะตกลงมาจากฟ้า การทุ่มเทของเย่เทียนเพียงแต่ข้างนอกไม่มีใครรู้เห็นเท่านั้น

ความรู้สึกในการฝึกวิชาทำให้เย่เทียนจมปลักเข้าสู่ห้วงภวังค์ และในสมองของเขาก็ทบทวนฝึกฝนอยู่กับเคล็ดวิชาฝ่ามือจ้งเหินไป่เหออย่างไม่หยุด

มาจนถึงเวลานี้เขาถึงได้พบว่าตอนที่ตนต่อสู้กับออนนีฮานนั้นเขานี่ช่างโง่มากจริง ๆ ขบวนท่าของฝ่ามือจ้งเหินไป่เหอนั้นแม้จะถูกจัดว่าเด่นทางด้านแกร่งแข็งดุดัน แต่แท้ที่จริงแล้วกับการพละกำลังนั้นมีวิถีการใช้ที่ต่างกันได้ คือได้ทั้งแข็งแกร่งหรืออ่อนเนียน นั่นจึงใช่เป็นที่สุดยอดของฝ่ามือจ้งเหินไป่เหอ

แต่เย่เทียนในเวลานั้นแกร่งกล้าเกินไป จึงกลับทำให้พลังอานุภาพของกระบวนท่าฝ่ามือจ้งเหินไป่เหอต้องถูกจำกัด

แล้วจากส่วนที่เขามองไม่เห็นนั้น หัวใจไทเก็กค่อย ๆ เคลื่อนวนเข้ามา เดิมเย่เทียนที่มีไข้สูงอยู่มาตลอดถึงตอนนี้ได้ลดลงเป็นปกติ

ช่ายเหมยเป่าที่นั่งคอยดูแลอยู่ข้าง ๆ เห็นสภาพนี้ข้าก็คลายกังวลลง กับเย่เทียนนั้นหล่อนยังมีความรู้สึกที่บอกไม่ถูก จะว่าแค้นก็ใช่ที่แน่นอนมาก ถ้าไม่เพราะเย่เทียนหล่อนก็คงไม่ต้องมาตกอยู่ในสถานะของกลุ่มกบฏ

แต่พอคิดไปถึงตอนที่ถูกเย่เทียนรังแกเอานั้น ช่ายเหม่ยเป่าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา คิดไปคิดไปก็ก้มหน้าลง ด้วยอาการม้วนอาย

สามารถทำให้ผู้ที่เคยเป็นถึงราชินีฝันร้ายออกอาการถึงขนาดนี้ คงเป็นที่น่าภูมิใจสำหรับเย่เทียนแล้ว

ทว่าเย่เทียนซึ่งยังจมหลับอยู่ในแดนฝันแบบว่าไม่รู้เรื่องอะไรใด ๆ ภายนอกแม้แต่น้อย แต่เขาในเวลานี้ได้เข้าไปอยู่ในการรับรู้แจ้งในเคล็ดวิชาฝ่ามือจ้งเหินไป่เหอ

ในสายตาบุคคลที่สามมองดูนั้น เย่เทียนได้เข้าถึงเคล็ดวิชาฝ่ามือจ้งเหินไป่เหอลึกขึ้นไปอีกหลายส่วน ถึงแม้สภาพร่างกายเขาในตอนนี้ยังดูแย่มาก แต่ก็ได้มาเป็นสิ่งที่เรียกว่าทุกขลาภ

ในครั้งที่แล้วที่มีการไปจู่โจมกลุ่มไร้ปรานีนั้นก็เพียงเป็นการกระทำของกลุ่มสมาชิกนอกกรอบของพวกเขา แต่ไม่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามนี้จะเอาเป็นเรื่องจริง แต่พอคิดถึงสภาพลงท้ายของพวกไร้ปรานี ใจของแฟลิกส์ก็อึมครึมลงไปในพลัน

“คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะไปร่วมมือกับไอ้พวกคนตะวันออกพวกนั้น!” แฟลิกส์พูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังไม่ออกว่ายินดีด้วยหรือโกรธ แต่ไม่ว่าใครที่รู้จักเขาดีนั้นย่อมรู้ดี เวลาขณะนี้ในใจเขาอัดเต็มไปด้วยความโกรธแค้น!

“ร่วมมือ?ไม่ ไม่ ไม่!” ตัวตลกได้ยินที่พูดแล้วก็หัวเราะออกมา แล้วรีบโบกมือ “พวกเราต่างคนต่างทำที่ต่างคนต่างต้องการทำเท่านั้น!”

“ดูท่าว่าพวกคนของข้าพวกนั้นคงกลับมาไม่ได้แล้ว แต่ในเมื่อเจ้ามาแล้ว มีคิดถึงผลสุดท้ายไหม?” แววตาของแฟลิกส์เริ่มมีแสงสีทองเข้าเคลือบ และเสียงพูดก็เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม

“ผลสุดท้าย?” ตัวตลกหัวเราะขึ้นมา “ความขัดแย้งของพวกเราก็ไม่ใช่ว่าจะปรองดองกันไม่ได้ ว่าแต่ท่านพระสันตะปาปา อยู่ไหน?”

“ฐานะอย่างเจ้านี่นะที่จะพบท่านพระสันตะปาปา?เฮอะ ๆ !หาที่ตาย!” แฟลิกส์หัวเราะเสียงเหยียด ติดตามมาด้วยการหายตัวไปอย่างเฉียบพลัน เพียงยังเหลือเงาให้ได้เห็นอยู่แวบ จะเห็นได้ว่าความเร็วของเขาน่ากลัวถึงขนาดไหน

“โอ้ว้าว?จะเอาจริงหรือ?งั้นคงต้องเป็นเพื่อนอยู่เล่นด้วยละ!” ตัวตลกไม่ได้ตื่นเต้นมากมาย แต่ก็ไม่ได้มีขยับอะไรแต่อย่างใด คงยังเฝ้าอยู่ที่ข้างเสา ทำเหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องอะไรกับการโจมตีของแฟลิกส์

แฟลิกส์ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าตัวตลก ฝ่ามือกางออกเหมือนคีมเหล็กล็อกเข้าไปที่กระเดือกคอ แล้วใช้แรงบีบ!

“ใช้แรงอีกหน่อย!ขนาดนี้ยังห่างอีกไกลที่จะให้เห็นอะไรได้!” ถึงแม้จะมีเสียงฉีกขาดดังชัดเจนมาจากบริเวณคอตัวตลก แต่เจ้าตัวตลกยังไม่เห็นรู้สึกอะไร ยังคงพูดล้อแฟลิกส์ด้วยน้ำเสียงยียวนกวนอารมณ์

แฟลิกส์หรี่ตาลงในฉับพลัน เขารู้กิตติศัพท์ของตัวตลกไร้ปรานีอยู่ แต่เขายังไม่เคยประมือกับตัวตลก มาวันนี้ได้ประมือด้วยจึงรู้สึกได้ว่าเจ้าตัวตลกนี่เล่นยากเอาเรื่อง

แสงพิพากษาไม่สามารถเบียดแทรกเข้าไปในตัวของตัวตลกได้ ความรู้สึกของเขากับตัวตลกนั้นเหมือนอยู่กับหุ่นยางที่ลื่นจับไม่ติดมือ เล่นยากจริง ๆ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่