คุณชาย แห่ง ประตูมังกร นิยาย บท 636

กู้ซิ่งเหว่ยพูดขึ้นอย่างค่อนข้างตื่นเต้น

“เป็นความคิดที่ดี เดี๋ยวฉันจะติดต่อไปอีกที”

กู้ชิงหลินโทรหาเพื่อนสนิทอีกครั้ง ก่อนจะส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “เพื่อนสนิทฉันบอกว่าแบบนั้นมันน่าขายหน้าเกินไป เลยไม่ตกลงด้วย”

“เฮ้อ อย่างนั้นก็รอฟังเรื่องราวเถอะ พรุ่งนี้ค่อยฟังให้เต็มที่ว่าพวกมันถูกฉีกหน้ายังไงก็แล้วกัน”

......

นอกรอยัลพาเลซเต็มไปด้วยรถหรู แผนกต้อนรับส่วนหน้าได้หยุดให้บริการตั้งแต่ช่วงบ่ายเพื่อเตรียมการสำหรับงานเลี้ยงอันยิ่งใหญ่ในค่ำคืนนี้

รถหรูจำนวนไม่น้อยต่างติดป้ายทะเบียนของเมืองหลวง เหล่าคนดังและเศรษฐีน้อยที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหรูหราหลากหลายสไตล์ค่อย ๆ ทยอยกันเข้ามาในรอยัลพาเลซ

กลุ่มเศรษฐีน้อยของเมืองหลวงรวมตัวกัน มองดูเหล่าลูกเศรษฐีจากกรุงโซลที่นำโดยหวงจื่อซวนด้วยสายตาเหยียดหยาม

หวงจื่อซวนเชื่อมสัมพันธ์กับลูกเศรษฐีของเมืองหลวงอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน และพยายามแทรกตัวเข้าไปในแวดวงชั้นสูง

ไม่นานเรื่องของคุณชายซูก็กลายเป็นประเด็นสนทนาของทุกคน สำหรับเรื่องเรือคว่ำในคูน้ำที่กรุงโซลของคุณชายซูนั้นทำให้เหล่าลูกเศรษฐีของเมืองหลวงไม่ค่อยพอใจนัก

ในครั้งนี้เหล่าลูกเศรษฐีของเมืองหลวงมีคุณชายหม่าเจียเฉิงประธานจ่างเซิ่งอินเตอร์เนชันแนลเป็นตัวเอก จ่างเซิ่งอินเตอร์เนชันแนลนั้นเป็นบริษัทยาอันดับหนึ่งของจังหวัด ซึ่งมีทรัพย์สินเป็นมูลค่าติดอันดับหนึ่งในสิบภายในจังหวัดอีกด้วย หม่าเจียเฉิงจึงนับว่าเป็นลูกมหาเศรษฐีที่อยู่ในจุดยอดสุดของจังหวัดแล้ว

หม่าเจียเฉิงในชุดทางการที่สั่งตัดพิเศษทั้งตัว ควงสาวสวยจากสถาบันศิลปะ เชิดหน้ามองไปยังหวงจื่อซวนด้วยท่าทีทรงอำนาจ

“ไม่ทราบว่าคนคนนั้นเป็นใคร รบกวนคุณชายหม่าช่วยบอกให้กระจ่างที หากว่าพวกเราเจอเขาในภายหลัง เราจะพาตัวมันมารับโทษกับคุณชายหม่าอย่างแน่นอนครับ”

หวงจื่อซวนโค้งตัว 25 องศา แสดงออกถึงความจริงใจของตน

หม่าเจียเฉิงยกยิ้ม ยกมือขึ้นตบที่แก้มของหวงจื่อซวนเบา ๆ “คุณก็อยู่เป็นเหมือนกันนี่ ถ้าหากว่าคุณจัดการเรื่องนี้ได้ดี ผมสามารถพาคุณเข้าวงสังคมของเมืองหลวงได้เลยล่ะ”

การเข้าแวดวงสังคมชั้นสูงของเหล่าลูกเศรษฐีเมืองหลวงนั้นเป็นเรื่องที่หวงจื่อซวนเฝ้ารอคอยที่สุด เพราะนั่นหมายความว่าเขาจะมีเครือข่ายที่กว้างขวางขึ้น ถึงขั้นสามารถรู้จักกับบุคคลที่อยู่ระดับสูงกว่าผ่านแวดวงนี้ได้เลย

“เข้าใจแล้วครับ คุณชายหม่าโปรดรอดูผลงานของผมได้เลย”

“อืม คนคนนั้นชื่อว่าหลี่โม่ ไปเถอะ”