มังกรผู้ทรงพลัง นิยาย บท 1994

เหอเลี่ยงยังไม่ได้ขึ้นไปด้านบน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พอเห็นฉีเติ่งเสียนกลับมาคนเดียวก่อน ก็แค่นหัวเราะอย่างดูแคลนทันที

“เมื่อกี้ยังบอกว่ารู้จักกับผอ. กรมจ้าวจากกรมใหญ่อยู่เลยไม่ใช่เหรอ? แถมยังจะแนะนำเสี่ยวลู่กับเขาอีก แล้วทำไมตอนนี้ถึงกลับมาแบบหัวหดหางตกอย่างนี้ล่ะ?” เหอเลี่ยงพูดเย้ยหยันอย่างสนุกปาก

“ฉันแค่เข้าไปทักทายเฉย ๆ ไม่ได้จะไปชนแก้วด้วยหรอก” ฉีเติ่งเสียนพูดเรียบๆ

กับคนที่เต็มใจจะยื่นเงินให้กับเขา พระอัครสังฆราชฉีผู้นี้ ก็ย่อมต้องแสดงความเป็นมิตรอยู่บ้าง ห้าล้านน่ะนะ ก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยเลย

แต่คำพูดนี้พอเข้าไปในหูของเหอเลี่ยง กลับกลายเป็นว่าฉีเติ่งเสียนแค่พูดแก้เขิน บางทีอาจถูกผู้ใหญ่บนโต๊ะอาหารตะเพิดไล่กลับมาก็ได้ เลยหน้าเสีย แล้วแต่งเรื่องมาพูดให้ดูดีเท่านั้น

หรือไม่ก็ พอเจอตัวจริงของผอ. กรมจ้าวเข้า ก็เกิดอาการกลัวจนหน้าเสีย แล้วรีบหนีกลับมาด้วยความขายหน้า

เหอเลี่ยงแค่นเสียงเยาะ “ถ้าเอาแกเข้าไปเผาในเตาเผาศพ

ฉันว่าในโกศเถ้ายังเหลือแต่ปากของแกอยู่เลยมั้ง!”

ฉีเติ่งเสียนเพียงยิ้มบาง ๆ ตอบว่า “คุณเหอ เตรียมห้าล้านของฉันไว้ให้พร้อมด้วยล่ะ ถ้าสักพักฉันไม่เห็นเงินละก็ ระวังฉันจะเล่นงานคุณนะ!”

เหอเลี่ยงหัวเราะเย้ย “ไม่เคยเจอใครหน้าด้านได้ขนาดนี้มาก่อนเลย!ทยอมรับว่าตัวเองสู้คนอื่นไม่ได้ มันยากมากรึไง?!”

พูดยังไม่ทันจบ เหอเลี่ยงก็เห็นจ้าวเทียนลู่เดินอ้อมฉากกั้นมาทางนี้ เขาถึงกับตกใจเล็กน้อย

“นี่แกไปทำอะไรให้ผอ. กรมจ้าวไม่พอใจรึเปล่า? ไอ้บ้าเอ๊ย!” เหอเลี่ยงรีบโพล่งถามด้วยความร้อนรนและตื่นตระหนก

แต่ฉีเติ่งเสียนไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย กลับรินเหล้าลงแก้วของตัวเองอย่างใจเย็น

พอจ้าวเทียนลู่เดินมาถึงตรงหน้า เหอเลี่ยงก็เตรียมจะเอ่ยปาก แต่ทันใดนั้น เขาก็ต้องตะลึงจนพูดไม่ออก เพราะจ้าวเทียนลู่ผู้เป็นผู้อำนวยการกรมใหญ่คนใหม่ กลับยิ้มกว้าง พลางพูดกับฉีเติ่งเสียนว่า “คุณฉีครับ ผมขอชนแก้วกับคุณก่อนสักแก้ว!”

“หา?!”

เหอเลี่ยงถึงกับอ้าปากค้าง ในหัวเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ผอ. กรมจ้าวมาขอชนแก้วกับฉีเติ่งเสียนได้?!

ฉีเติ่งเสียนพยักหน้าเบาๆ ยกแก้วขึ้นชนกับจ้าวเทียนลู่ แล้วพูดว่า “กินข้าวก่อนเถอะ รอคุณจัดการแขกเสร็จ

เราค่อยคุยกันอีกที”

จ้าวเทียนลู่ยิ้มเจื่อนๆ “งั้นผมขอกลับไปจัดการแขกก่อน คุณรอผมครู่หนึ่งนะครับ”

พูดจบ จ้าวเทียนลู่ก็หมุนตัวเดินจากไป หลังจากเขากลับโต๊ะไป เจียงอวิ๋นกับพวกก็ทยอยกลับมาที่โต๊ะด้านข้างเช่นกัน

พวกเขาเห็นฉีเติ่งเสียนยังนั่งสงบนิ่งอยู่เหมือนเดิม ก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาในใจ เพราะเมื่อครู่นี้ พวกเขาเพิ่งหัวเราะเยาะเขาแบบเต็มพิกัด แต่มาตอนนี้กลับพบว่า

เขารู้จักกับผอ. กรมจ้าวจริง! แถมผอ. กรมจ้าวยังเดินมาชนแก้วด้วยตัวเองอีกต่างหาก แบบนี้ต้องมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งระดับไหนกันเชียว ถึงจะได้รับเกียรติขนาดนี้?

เจียงอวิ๋นรู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าว เมื่อครู่เขามองฉีเติ่งเสียนเป็นตัวตลก แต่สุดท้าย กลับกลายเป็นตัวเองต่างหากที่เป็นตัวตลก

แต่ลู่หยู่ไห่กลับดูสบาย ๆ อย่างยิ่ง ตั้งแต่ต้นจนจบ เธอเชื่อว่าคำพูดของฉีเติ่งเสียนเป็นเรื่องจริงทั้งหมด

“สารวัตรลู่ ต่อจากนี้เธอก็แค่ตั้งใจทำงานของตัวเองให้ดี จับคนร้าย ทำลายความชั่วร้ายให้มากๆ ถึงเวลาแล้ว เธอก็จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเอง ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนไขว่คว้าให้มากนักหรอก คนเรา ถ้ามัวแต่คิดจะปีนขึ้นสูง สุดท้ายจะลืมหน้าที่ตัวเอง แล้วก็จะหลงทางไปในที่สุด” ฉีเติ่งเสียนกล่าวขึ้น

“ค่ะ นั่นก็คือหลักการทำงานของฉันมาโดยตลอดเหมือนกัน!” ลู่หยู่ไห่พยักหน้าตอบอย่างหนักแน่น

หากก่อนหน้านี้ ฉีเติ่งเสียนพูดแบบนี้ออกมา ทุกคนก็คงมองว่าเขาแค่ชอบทำตัวใหญ่โต พูดโอ้อวด แต่พอได้เห็นกับตาว่าเขามีปูมหลังจริง คำพูดนี้กลับทำให้คนทั้งกลุ่มรู้สึกละอายใจขึ้นมาทันที

“ฉันขาดทุนย่อยยับเลย” เหอเลี่ยงทำหน้าหมองพลางพูดว่า “หมอนี่นามสกุลฉีนี่มันเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงทำให้ ผอ. กรมจ้าวถึงกับลุกขึ้นมาเชิญชนแก้ว!”

เจียงอวิ๋นตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “นายไม่ต้องไปสนว่าเขาเป็นใคร แค่รู้ไว้ว่าเขา โคตรเจ๋งก็พอ เราไม่สามารถแตะต้องเขาได้ วันนี้ก็แค่โชคไม่เข้าข้างก็เท่านั้น……”

เหอเลี่ยงพูดอย่างขมขื่นว่า “แต่คนระดับนั้น ยังจะมายึดติดกับคำพูดลอยๆ ของฉัน เล่นเอาเงินห้าล้านไปทั้งที่มันก็แค่คำพูดด้วยอารมณ์น่ะนะ นับถือเลย นี่มันโลภเงินขนาดนี้เลยเหรอ?!”

เจียงอวิ๋นก็พูดขึ้นว่า “อย่าไปดูถูกวิสัยทัศน์ของคนระดับนั้นเชียวนะ นายคิดว่าเขาขาดเงินห้าล้านนั่นจริง ๆ เหรอ? แน่นอนว่าไม่ใช่! ที่เขาเอาเงินจากนาย ก็เพื่อจะสั่งสอนให้นายจำไว้ ว่าคำพูดบางคำพูด มันพูดมั่วๆ ไม่ได้ และเพื่อจะให้เข้าใจด้วยว่า บนฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้นาย ระวังตัวให้มากขึ้นในชีวิตข้างหน้า จะได้ไม่ทำผิดพลาดจนแก้ไขไม่ได้ นั่นคือวิสัยทัศน์ในระดับของผู้ยิ่งใหญ่ นายไปประชดเขา แต่เขากลับยังมีแก่ใจจะสั่งสอนให้นายได้รู้แจ้งในชีวิต…...”

“เป็นแบบนั้นเหรอ……”

พอได้ฟัง เหอเลี่ยงถึงกับอึ้งไปเลย ที่แท้ฉีเติ่งเสียนไม่ใช่คนโลภอะไร แค่อยากจะสั่งสอนให้จำไว้เป็นบทเรียน?

ถ้าฉีเติ่งเสียนมาได้ยินบทสนทนานี้ล่ะก็ เขาคงขำกลิ้งจนล้มโต๊ะ ว่าแล้วเชียว สิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือการมโนของตัวเองนี่แหละ

หลังจากเจียงอวิ๋นและพวกเดินออกไปได้ไม่นาน ฝั่งโต๊ะของจ้าวเทียนลู่ก็ปิดโต๊ะเช่นกัน การเลี้ยงอาหารจบลงแบบเร่งรีบ ทุกคนที่นั่งอยู่ก็ล้วนรู้สึกเหมือนมีก้างติดหลัง นั่งต่อไปก็อึดอัดใจ ไม่มีความสุขเลย

ฉีเติ่งเสียนบอกให้ลู่หยู่ไห่อยู่รอ เพราะตั้งใจจะให้จ้าวเทียนลู่ใช้งานเธอ เพื่อร่วมมือกันปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์

“ฮ่า ๆ ๆ รอนานเลยสิครับ คุณฉี!” จ้าวเทียนลู่มาถึงก็ประสานมือ คารวะซ้ำ ๆ แสดงถึงความรู้สึกขอโทษ

ลู่หยู่ไห่ก็รู้สึกแปลกใจอยู่ลึก ๆ เพราะการที่ทำให้จ้าวเทียนลู่แสดงท่าทีขนาดนี้ ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาแน่!

ทั้งที่จุดเริ่มต้นของความรู้จักเกิดขึ้นแค่บนรถไฟเท่านั้นเอง ตอนนั้นฉีปู้อวี่ยังโดนหยางเฉียงที่มีปืนอยู่ในมือจับเป็นตัวประกันด้วยซ้ำ

ความแตกต่างระหว่างก่อนและหลังนั้น มันช่างชัดเจนเสียจนเธอรู้สึกปรับตัวแทบไม่ทัน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มังกรผู้ทรงพลัง