องค์ชาย(ไม่)เอาถ่าน นิยาย บท 205

อำเภออันกงหรือ

นี่คือหนึ่งในอำเภอที่สำคัญที่สุดในราชวงศ์อู่เชียวนะ !

อำเภอนี้ต่างจากอำเภอจิงในเมืองหลวงเพียงระดับเดียวเท่านั้น อำเภอจิงนั้นอยู่ใต้บาทโอรสสวรรค์ นับว่าอยู่ใต้สังกัดเมืองหลวง ขณะที่อำเภออันกงนั้นอยู่ใต้สังกัดเมืองเหยียนแห่งเฟิงโจว แต่กลับเป็นดินแดนที่ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ มีการเก็บภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

นี่หลี่เจิ้งคิดจะยกอำเภออันกงเป็นรางวัลที่ดินพระราชทานให้แก่ผู้ชนะอย่างนั้นหรือ

แต่ที่พระราชทานแห่งนี้ต่างจากที่อื่น ๆ ตรงที่ไร้ซึ่งอำนาจปกครองและมีสิทธิ์เพียงการเก็บภาษีจากอำเภออันกง แปลว่าสิ่งที่หลี่เจิ้งมอบเป็นรางวัลนั้นก็คือสิทธ์ในการจัดเก็บภาษีนี้นี่เอง

คำพูดของหลี่เจิ้งทำให้หลี่เหวินจวินและคนอื่น ๆ ถึงกับมีสีหน้าตื่นตกใจ

นี่เป็นสถานที่ชั้นดีเชียวนะ

เป็นหนึ่งในที่ดินพระราชทานที่พวกเขาซึ่งกำลังจะได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งต่างก็ปรารถนา !

ตอนนี้หลี่เจิ้งกลับใช้พื้นที่ดังกล่าวมาเป็นรางวัลเช่นนี้ นั่นก็หมายความว่าคนที่จะได้พื้นที่นี้ไปครองก็มีแต่หลี่จุ่นหรือองค์รัชทายาทเท่านั้น

หลี่เฉียนและหลี่จ้งถึงกับหน้านิ่วคิ้วขมวดในทันที สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าคล้ายว่าเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อยากเห็นและไม่ต้องการให้เกิดขึ้นสักเท่าใดนัก

“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ” องค์รัชทายาทเผยสีหน้าให้เห็นถึงความปรีดา

หลี่จุ่นเองก็โค้งคำนับพลางเอ่ยขึ้นเช่นกัน “ขอบพระทัยฝ่าบาท”

หลี่จุ่นพยักหน้าอย่างช้า ๆ เขามองคนทั้งสองแล้วพูดขึ้น “พวกเจ้าเริ่มแข่งเถอะ ข้ากับเสิ่นไท่ฟู่จะเป็นผู้ตัดสินผลการแข่งขันเอง”

เสิ่นคั่วที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นั้นรีบก้มตัวลงแล้วเอ่ยขึ้นทันที “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

ครานี้เองที่ผู้คนโดยรอบพากันเคร่งเครียดขึ้นมา

สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังรัชทายาทและหลี่จุ่นในฉับพลัน

หลี่จุ่นเผยรอยยิ้มออกมา ชายหนุ่มมองไปยังรัชทายาทแล้วเอ่ยขึ้น “องค์ชายรัชทายาท เชิญ !”

รัชทายาทเหลือบมองหลี่จุ่นอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงค่อย ๆ ส่ายหน้าพลางเอ่ยด้วยเสียงเรียบ

“จิ่งอ๋องเริ่มก่อนเถิด”

เหอเหอ

ในใจของหลี่จุ่นนึกยิ้มหยัน

คิดอยากจะประลองกับคนโบราณในประวัติศาสตร์จีนโดยอาศัยเพียงช่วงเวลาราชวงศ์เดียวของท่านน่ะหรือ

ฝันไปเถอะ !

ยังคิดเสแสร้งสินะ

เช่นนั้นข้าก็จะทำให้ท่านเห็นว่าแบบไหนที่เรียกว่าบทกวี !

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่เกรงใจแล้วละ องค์ชายรัชทายาทโปรดฟังให้ดี เมื่อแพ้ขึ้นมาก็อย่าได้ทำตัวไม่รู้จักแพ้เชียว”

หลี่จุ่นยิ้มพลางเอามือไพล่หลังแล้วเดินเข้าใกล้ริมสระน้ำ

สายตาของรัชทายาทนั้นเย็นชาจนดูว่ามีความแค้นเคืองปะปนอยู่บ้าง

หลี่จุ่นชี้ไปยังต้นหลิวที่อยู่ริมสระน้ำแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วสันต์นี้น่าสนใจยิ่งนัก เช่นนี้ข้าจะก็ขอร่ายกลอนตามใจสักบทแล้วกัน”

เพียงครู่เดียว ความรู้สึกของทุกคนก็จับจ้องมายังหลี่จุ่น รอคอยที่จะฟังบทกลอนจากปากของเขา

ในเวลานี้ ต่อให้เป็นหลี่เฉียนและหลี่จ้ง หรือกระทั่งรัชทายาท ต่างก็พากันมองหลี่จุ่นด้วยสายตาที่ซ่อนไว้ด้วยความรอคอย

หลี่เหวินจวินหายใจไม่ทั่วท้อง ดวงตาคู่สวยฉายแววเป็นประกาย

หลี่จุ่นชี้ไปยังต้นหลิวที่ริมสระน้ำพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “บทแรก ข้าจะร่ายกลอนถึงต้นหลิวนี้แล้วกัน ข้าขอเรียกมันว่า’ต้นหลิว’”

เพียงเอ่ยบทกลอนประโยคแรกก็ใช้คำงดงามถึงเพียงนี้เชียวหรือ

สมแล้วกับการเป็นคนที่บัณฑิตใหญ่แห่งราชวงศ์อู่อย่างเสิ่นคั่วเคยปากชมอย่างเต็มที่

เพียงประโยคแรก หลี่เฉียนกับหลี่จ้งก็ตกตะลึงกันจนหมด !

พวกเขาซื้อบทกลอนมาจากเจียงเฟิง โดยที่เจียงเฟิงเตรียมบทกลอนไว้ให้พวกเขาทั้งหมดสามบท หนึ่งในนั้นคือต้นหลิว เจียงเฟิงยังกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่าบทกลอนต้นหลิวนี้เรียกได้ว่าเป็นห้าอันดับแรกของสุดยอดกลอนในชีวิตของเขาได้เลยทีเดียว

แต่ตอนนี้ เพียงประโยคแรกของหลี่จุ่นก็ทำให้บทกลอนต้นหลิวของเจียงเฟิงนั้นเทียบไม่ติดเสียแล้ว

บ้าจริง !

เจ้าหมอนี่ เหตุใดจึงเก่งกาจถึงเพียงนี้

หลี่เหวินจวินแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เพียงประโยคแรกนางก็รู้ได้ทันทีว่าฝีมือการแต่งกลอนของหลี่จุ่นนั่นไม่ธรรมดาเป็นแน่

ฮองเฮาที่อยู่ด้านข้างหลี่เจิ้งนั้นพูดอะไรไม่ออกเสียแล้ว ดวงตาคู่งามของนางจ้องเขม็งไปยังหลี่จุ่นด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน

ต่างจากผู้ที่อยู่ข้าง ๆ นางอย่างหลี่เจิ้งที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย

ในยามนี้เอง หลี่จุ่นได้ร่ายกลอนประโยคที่สองตามมา

“ผ้าผูกผมสีมรกตนับหมื่นห้อยระย้า”

ไม้สูงแต่งกายราวสาวงาม ผ้าผูกผมสีมรกตนับหมื่นห้อยระย้า

ผู้คนจำนวนไม่น้อย เมื่อได้ยินสองประโยคนี้ก็ถึงกับเกิดอาการใจลอย สายตาของสนมจำนวนไม่น้อยในศาลาที่เหล่าสนมพำนักอยู่นั้นเกิดความเหม่อลอย

ราวกับว่าสิ่งที่บทกวีนี้กำลังกล่าวถึงมิใช่ต้นหลิว หากแต่เป็นพวกนางในวัยแรกแย้ม ความงดงามที่ชวนให้หวั่นไหว เต็มไปด้วยความสดใสร่าเริง มิใช่ความสุขุมสง่างาม

ช่างเป็นบทกลอนที่งดงามเสียเหลือเกิน