ด้านคนที่นั่งดื่มเบียร์ดูรายการนู่นนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย หยิบมือถือมาเปิดดูก็เห็นสายเรียกเข้าจากบิดา มารดาและผู้เป็นยาย จึงรีบกดต่อสายหาแฝดผู้น้อง
[แกอยู่ไหน?] ปลายสายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตึงๆ
[ฉันจะกลับพรุ่งนี้เช้า ฝากบอกทุกคนด้วยนะ]
[ให้ตายสิคิน! แกเป็นบ้าอะไรวะ ทำไมถึง...]
ภาคินกดตัดสายของแฝดผู้น้อง แล้วปิดเครื่องไปทันที เพราะไม่อยากจะบอกหรืออธิบายเหตุผลที่มีอยู่ในใจให้ใครฟัง รู้ดีว่ายังไงวันพรุ่งนี้ก็ต้องถูกทุกคนในครอบครัวรุมสวดยาว แต่นั่นก็ไม่ทำให้เขากลัวเท่ากับการที่ถูกวรันยาโกรธ
วันต่อมา...เวลา 04:20 น. กังศมาที่ตื่นนอนแต่เช้ามืด รีบโทร.หาคนสนิท ให้ขับรถพามาส่งที่รีสอร์ต พรรณนารา พอมาถึงเธอก็ล้วงกุญแจสำรองที่สินชัยให้ไว้มาเปิดประตูบ้าน ก็พบว่าหลานชายตัวดีนอนห่มผ้าอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกด้านล่าง จึงสะกิดเรียกเบาๆ
“คิน! คิน! ตื่น”
“อื้อ...ยาย!” ภาคินลืมตาขึ้นมอง พอเห็นว่าใครมายืนเรียกอยู่ใกล้ๆ ก็ตกใจจนแทบช็อก
“ก็ยายน่ะสิ คิดว่าใครงั้นเหรอ” กังศมาต่อว่าพร้อมกับจุ๊มือที่ปากเตือนหลานชายให้พูดเบาๆ เพราะไม่อยากให้วรันยาหรือนารีตกใจตื่นขึ้นมาในตอนนี้
“มาทำไมแต่เช้าครับ” ภาคินถามอย่างรู้สึกมึนงงไม่หาย
“ยายต้องถามเรามากกว่าว่ามานอนที่นี่ทำไม?” กังศมาย้อนศร
“ผมมาดูบอลครับ” ภาคินตอบเสียงเบาหวิวอย่างรู้สึกอายๆ
“ที่บ้านเราไม่มีทีวีงั้นเหรอ?” กังศมาเลิกคิ้วถามพร้อมกับจ้องมองใบหน้าของหลานชายนิ่ง
“มีครับ แต่เสียงดนตรีมันดัง ผมดูบอลไม่รู้เรื่อง”
“บ้า! ห้องดูหนังที่บ้านยายเป็นห้องเก็บเสียงนะคิน”
“จริงด้วยสิ! ผมลืมไปเลย” ภาคินทำหน้าแทบไม่ถูก
“นารีอยู่ไหน?” กังศมาถามหาคนกลางอย่างรู้สึกหวั่นใจ กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้นอนที่นี่
“นอนกับน้องไวน์ที่ห้องครับ” ภาคินรีบบอก
“เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น?” กังศมาแกล้งถามทั้งๆ ที่ได้ฟังความจริงจากปากของภัคคินัยไปหมดแล้ว
“เฮ้อ...ผมได้ยินเพื่อนโต๊ะข้างๆ พูดถึงน้องไวน์ ก็เลยโกรธน่ะครับ” ภาคินถอนหายใจพร้อมกับเอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าๆ
“สิ่งที่คินแสดงออกเมื่อคืนน่ะ รู้ไหมว่าทำให้แม่เราเดือดขนาดไหน” กังศมาบอกเรื่องที่ทำให้เธอนอนไม่หลับมาทั้งคืน
“ผมพอจะเดาออกครับ” คนมีความผิดติดตัวพยักหน้ารับเบาๆ
“งั้นเดาออกไหมว่าจะต้องย้ายไปคุมกิจการทางใต้แทนนัย”
“โธ่! ยายก็รู้ว่าหัวใจของผมอยู่ที่นี่”
“น้องไวน์อายุแค่ 17 นะคิน ต้องให้ยายย้ำเรื่องนี้อีกสักกี่ครั้งกันฮะ” กังศมาบอกอย่างรู้สึกหงุดหงิด เพราะเธอและภัคคินัยเตือนแล้วเตือนอีก แต่ภาคินก็ยังทำหน้ามึนไม่เลิก
“ผม...” คนที่พยายามคิดหาข้อแก้ตัว
“ถ้าหากยังทำตัวแบบนี้อีกแค่ครั้งเดียว อย่าหาว่ายายใจร้ายแล้วกัน”
“ผมขอโทษครับ สัญญาว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก” ภาคินบอกเสียงอ่อน
“ยายฟังคำนี้มาหลายครั้งแล้วนะ” กังศมากลอกตาอย่างเพลียๆ
“ผมเสียใจจริงๆ ครับยาย ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป พอรู้สึกตัวอีกที ทุกอย่างมันก็ดูแย่ไปหมด”
“ไปตั้งสติ แล้วทบทวนการกระทำของตัวเองใหม่ คินไม่ใช่เด็กที่อยากได้อะไรก็ต้องได้ แต่โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้ว ต้องรู้จักคำว่าอะไรควรและอะไร ไม่ควร”
“เข้าใจแล้วครับ”
“ดี! งั้นก็กลับบ้าน”
“เอ่อ...แล้วคุณพ่อกับคุณแม่...” ภาคินเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล ไม่รู้ว่ากลับไปแล้วจะต้องเจอกับอะไรอีกบ้าง
“ยายจะช่วยแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว” กังศมาถอนหายใจก่อนจะรับปากกางปีกปกป้องหลานชายตัวดี
“ขอบคุณครับ ผมรักยายที่สุดเลย” ภาคินโผเข้ากอดผู้เป็นยายอย่าง ซาบซึ้งใจ
“ตาคิน!” ดาหลาส่ายหน้าอย่างรู้สึกเซ็งๆ ที่ถูกทั้งแม่และบุตรชายตัวแสบ ชิ่งหนี จึงเดินออกไปดูลานด้านหน้าเรือนใหญ่ที่คนงานกำลังเริ่มเก็บโต๊ะและเก้าอี้กันอย่างขยันขันแข็ง
หลังจากที่ภาคินเดินแยกย้ายกับผู้เป็นยายเสร็จ ก็ตรงมาที่ห้องนอนของตัวเอง ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็ตกใจจนแทบช็อก ที่เห็นแฝดผู้น้องนอนอยู่บนเตียง
“นัย! แกมาทำอะไรที่ห้องฉัน?”
“ก็มารอแกน่ะสิ” ภัคคินัยตอบก่อนจะลุกขึ้นนั่งที่ขอบเตียง
“รอทำไม?” ภาคินถามทั้งที่รู้คำตอบดีแก่ใจว่าคงไม่พ้นเรื่องเมื่อคืน
“แกจำเรื่องที่รับปากกับฉันเอาไว้ได้ใช่ไหม” ภัคคินัยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยตามแบบฉบับของฆาตกรโรคจิต เอ๊ย! ตามแบบฉบับหนุ่มมาดขรึม
“จำได้ และฉันก็เพิ่งจะถูกแม่กับยายสวดมาเมื่อสองนาทีก่อน” ภาคินตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ‘อะไรวะ? ตื่นมาก็เจอยาย ต่อด้วยแม่ แล้วยังต้องมานั่งตอบคำถามงี่เง่าจากไอ้นัยอีกงั้นเหรอ’
“แกจะเข้าไปคุยกับพ่อเอง หรือว่าจะให้ฉันเข้าไปคุย” ภัคคินัยถามแฝดผู้พี่ที่ทำหน้าเหมือนไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทั้งที่คนในบ้านต่างพากันเครียดไปตามๆ กัน
“คุยเรื่องอะไร?”
“ก็เรื่องที่แกจะย้ายไปดูแลกิจการทางใต้ไงล่ะ”
“ไม่! จะไม่มีใครไปคุยกับพ่อเรื่องนี้ เพราะฉันเคลียร์กับยายและแม่จบไปแล้ว” ภาคินหน้าตึงขึ้นมาทันใด ที่แฝดผู้น้องหยิบยกเรื่องนี้มาขู่
“กูจะรอดูว่ามึงจะตัวเอาตัวรอดไปได้อีกกี่ครั้ง” ภัคคินัยจ้องมอง แฝดผู้พี่ด้วยสายตาเหยียดๆ
“หึ! อย่างน้อยกูก็ไม่ได้แก้ผ้านอนกอดกับน้องไวน์ เหมือนที่มึงทำกับคาร่า” ภาคินสวนกลับคนปากดีอย่างเต็มไปด้วยความอิจฉา ที่ไม่สามารถหมั้นหมายกับ วรันยาได้เหมือนที่ใจอยาก
“ไอ้คิน!” ภัคคินัยเอ่ยเรียกอย่างไม่พอใจ
“เราต่างก็โตๆ กันแล้ว ต่อไปนี้กูจะทำอะไร มันก็เรื่องของกู ส่วนมึงจะทำอะไร ก็เรื่องของมึง!” ภาคินบอกอย่างรู้สึกรำคาญ แกมน้อยใจที่แฝดผู้น้อยไปนอนแก้ผ้ากอดสาวที่อายุเพิ่งจะครบ 18 ปี แต่พ่อกับแม่ของเขาก็ทำเหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร แถมยังเห็นดีเห็นชอบให้หมั้นหมายกันเอาไว้ก่อน แต่พอเป็นเขากับวรันยา ทุกคนต่างพากันห้าม อ้างความเหมาะสม อะไรควรไม่ควร น้องไวน์อย่างนั้น น้องไวน์อย่างนี้ บลาๆๆ ทั้งๆ ที่วรันยาเองก็อายุเท่าๆ กับคาร่า แบบนี้มันสองมาตรฐานชัดๆ
“ได้!” ภัคคินัยตอบก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้าตึงๆ พร้อมกับปิดประตูห้องกระแทกตามหลังเสียงดังสนั่น
“หึ! ทำเป็นสอนคนอื่น ทั้งที่ตัวเองเพิ่งจะทำเลวมาหมาดๆ นี่ถ้าคาร่าไม่ใช่ลูกสาวของอาอัสลานล่ะก็ ป่านนี้ไม่ติดคุกไปแล้วเหรอวะ” ภาคินส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ ก่อนจะเดินไปล้มตัวนอนบนเตียงอย่างรู้สึกหงุดหงิด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภาคิน (ซีรีส์ 3 หนุ่มซานเตียนโน่)