“แล้วเจ้าจะไปห้องของหลิวฉิงอีกไหม?”
อวิ๋นหลิงเริ่มลังเล ถึงแม้ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เจอหลิวฉิง แต่สมองของเซียวปี้เฉิงก็สำคัญ
นางเห็นแก่ที่เขาเป็นคนป่วย จึงเลือกที่จะอยู่ต่อ
“ไม่ไปแล้ว ข้าจะดูแลท่านก่อน”
เซียวปี้เฉิงโล่งอก แอบดีใจเงียบ ๆ รู้สึกลำพองใจที่สามารถเอาชนะศัตรูหัวใจ
หัวใจเขาพองโต แต่ใบหน้ากลับทอประกายแสงลังเลแวบผ่าน พูดแบบได้คืบจะเอาศอก
“แบบนี้ไม่ดีกระมัง? วันนี้พวกเจ้าเพิ่งเจอกันครั้งแรก นางคงมีเรื่องคุยกับเจ้าเยอะ เจ้าไม่ไปหานาง นางจะเสียความรู้สึกไหม?”
อวิ๋นหลิงส่ายหน้า “ท่านคงปวดหัวมาหลายวันแล้ว สิ่งสำคัญคือข้าต้องดูอาการท่านก่อน ส่วนพี่ฉิงนั้น พวกเรามีเรื่องต้องคุยกันเยอะ ไว้คุยทีหลังก็ได้ รอกลับถึงจวนแล้วข้าไปนอนคุยกับนางครึ่งเดือนก็ได้”
เซียวปี้เฉิง “...”
เขาได้ยินประโยคตอนแรก ยังไม่ทันยกมุมปากขึ้นยิ้มก็ต้องหน้าแข็งค้างเพราะประโยคหลัง
“ท่านไม่ต้องกลัวนางเสียความรู้สึกหรอก พี่ฉิงไม่ใช่คนแบบนั้น ถึงแม้นางจะพูดไม่เก่ง แต่เป็นคนตรงไปตรงมา ไม่ถือสาเรื่องเล็กน้อย ดูภายนอกจะเหมือนคนสะเพร่า แต่ความจริงแล้วละเอียดอ่อนมากเชียวนะ”
อวิ๋นหลิงถอดเสื้อตัวนอกแล้วดึงเขาไปยังเตียง เตรียมจะตรวจสมองของเขา
ภายใต้แสงตะเกียง นางสำรวจเซียวปี้เฉิงโดยละเอียด ใบหน้าหล่อรู้สึกผอมลง พวงแก้มเหมือนจะหยาบกว่าเดิมเล็กน้อย
หลังนางมองดี ๆ แล้วถึงรู้ว่ามีแผลเล็ก ๆ ที่แก้มและหน้าผากเขาหลายจุด ราวกับโดนปลายกระบี่และกิ่งไม้ทิ่ม ตอนนี้กำลังตกสะเก็ดอยู่
อวิ๋นหลิงลูบแก้มเขา “ทำไมน่าสงสารอย่างนี้?”
เซียวปี้เฉิงรู้สึกอบอุ่นหัวใจ แววตาอ่อนโยน ฝ่ามือใหญ่กุมมือนางไว้ “แผลแค่นี้ไม่เป็นไรเลย”
อวิ๋นหลิงยังคงรู้สึกสงสาร “ดูสิผอมลงเยอะเลย แล้วก็ดำขึ้นด้วย ดำกว่าตอนไปอีก”
เซียวปี้เฉิง “...”
เขาดีใจที่ภรรยาห่วงย แต่ประโยคหลังไม่น่าฟังเสียเลย
เมื่อความทุ่มเทในการบำรุงก่อนหน้านี้สูญเปล่า เซียวปี้เฉิงก็หน้าหดหู่ทันที
“ทำไมสีหน้าไม่ค่อยดีเลย ปวดหัวอีกแล้วหรือ?”
อวิ๋นหลิงเริ่มกังวลใจ ใช้พลังจิตที่ยังไม่ฟื้นฟูของตัวเองตรวจอาการของเขา จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัย
“ข้าดูแล้วก็ไม่เห็นเป็นไรเลย พลังจิตของท่านยังดีมาก และแข็งแกร่งขึ้นหนึ่งเท่ากว่าด้วย”
“ไม่มีปัญหาหรือ? เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว” เซียวปี้เฉิงกลัวโดนจับได้ แต่ยังคงพูดปกติว่า “ตอนนี้ไม่ได้เจ็บมากแล้ว ระหว่างเดินทางกลับเมืองหลวงจะรู้สึกปวดมาก คงเป็นเพราะข้าเร่งเดินทางเพราะเป็นห่วงสถานการณ์ภายในเมืองหลวงกระมัง”
อวิ๋นหลิงเห็นเขาไม่เป็นอันใดก็โล่งอก “คงเป็นเพราะไม่ได้พักผ่อนดี ๆ ปกติเวลาเลื่อนระดับขั้นพลังจิตแล้วต้องพักผ่อนเยอะ ๆ บางทีพอท่านพักผ่อนเต็มที่แล้วอาจจะหายก็ได้”
หลังวางใจลง นางก็ถามเรื่องความสามารถของเซียวปี้เฉิงด้วยความใคร่รู้ เขาจึงเล่าเหตุการณ์อันแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นตอนต่อสู้กับราชาหมาป่าน้อย
อวิ๋นหลิงตะลึงงัน “เคลื่อนย้ายสิ่งของกลางอากาศ? ความสามารถพิเศษของระบบพลังจิต?”
นี่อาจเป็นความแตกต่างระหว่างการกระตุ้นพลังจิตด้วยยากับการล้วงไขเทคนิคด้วยตัวเอง ซึ่งความสามารถของต้าเป่ากับเอ้อเป่าก็ไม่เหมือนนางด้วย
เซียวปี้เฉิงถาม “ช่วงนี้ข้าได้แนวทางเทคนิคการใช้พลังจิตใหม่ ๆ แต่โอกาสสำเร็จยังต่ำมาก”
ส่วนใหญ่ลองสิบครั้งจะสำเร็จเพียงครั้งเดียว ทั้งยังสูญเสียพลังจิตเยอะมาก สามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของเท่านั้น
สำหรับสิ่งมีชีวิตนั้น เขาเคยทดลองกับมดและแมลงต่าง ๆ แต่ก็ไม่เคยสำเร็จสักครั้ง
“เมียจ๋า องค์กรพวกเจ้ามีสมาชิกที่มีความสามารถคล้ายอย่างนี้ไหม?”
อวิ๋นหลิงส่ายหน้า พลังจิตของเซียวปี้เฉิงกับนางต่างกัน ฉะนั้นเมื่อเกี่ยวข้องกับการฝึกฝนด้วยเทคนิคพิเศษ นางจึงไม่มีคำแนะนำใด ๆ ให้แก่เขา
“ไม่มี แต่ข้าเคยแอบเข้าไปอ่านข้อมูลระบบของผู้บริหารระดับสูง แล้วรู้ว่าผู้ก่อตั้งองค์กรคือมนุษย์คนแรกบนโลกที่สามารถใช้พลังจิตจากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ความสามารถพิเศษของเขาเกี่ยวกับการควบคุมเวลา ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ เพราะต่อมาเขาหายตัวไปอย่างลิบลับ ราวกับหายไปกับอากาศอย่างไรอย่างนั้น”
“ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรพวกข้าอยากรู้ความลับของผู้ก่อตั้งองค์กรมาก จึงคิดค้นยากระตุ้นพลังจิตขึ้นมา และมิติกับเวลาคือแนวทางหลักที่อยากรู้ แต่วิจัยมาสี่สิบกว่าปีแล้วยังไม่ได้ข้อมูลอะไรเลย”
เมื่อพ่อแม่อย่างพวกเขาไม่อาจดูแลลูก ๆ ได้ จึงมอบให้คนตระกูลฉู่ดูแล พวกเยี่ยเจ๋อเฟิงกับตงชิงก็อยู่จวนเหวินกั๋วกงด้วย
อวิ๋นหลิงกล่าว “งั้นท่านไปรับกลับมาเลย ข้าจะกลับจวนก่อน จะดูว่าอาชิ่นกับอ้ายเต๋อหัวเป็นยังไงบ้าง?”
เซียวปี้เฉิงใช้สายตาสอบถามมองไปยังหลิวฉิง “ศิษย์พี่หลิงเอ๋อร์ ท่านจะไปรับสหายกู้ที่จวนเหวินกั๋วกงไหม?”
หลิวฉิงชะงักไปหนึ่งวินาที จากนั้นก็ส่ายหน้าปฏิเสธด้วยความเฉยชา
“ข้าวางใจในศักยภาพการทำงานของน้องเขย เจ้ากับเจ้าอ๋องสนิทกัน ข้าไม่ไปแล้ว ข้าอยู่กับน้องหลิงดีกว่า”
อวิ๋นหลิงจับจุดสำคัญได้ทันที “เจ้าอ๋อง?”
เซียวปี้เฉิงกระตุกมุมปาก “ก็คืออ๋องผู้สำเร็จราชการ”
เขาได้ยินคำที่หลิวฉิงเรียกกู้ฉางเซินแล้วเกือบสำลักกับข้าว
อวิ๋นหลิงมองหลิวฉิงอย่างพิจารณาครู่หนึ่ง ก่อนจะแย้มยิ้มพร้อมกับย่นคิ้วถาม “พี่ฉิง ท่านกับเจ้าอ๋องนั่นเป็นอะไรกัน ข้าดูแล้วเหมือนเขาจะไม่ใช่คนธรรมดาสำหรับท่านนะ”
เซียวปี้เฉิงผู้ที่ตกอยู่ในความงวยงงตะลึง “เมียจ๋า ไยจึงถามเยี่ยงนี้?”
คือดูออกได้อย่างไร?
เขาก็ไม่ใช่คนตาบอดนะ ดูไม่ออกเลยว่าหลิวฉิงรู้สึกพิเศษต่อกู้ฉางเซิน
เวลาหลิวฉิงคุยกับกู้ฉางเซินยังทำหน้าเย็นชากว่าตอนคุยกับเขาเลย
อวิ๋นหลิงเลิกคิ้ว พูดด้วยความมั่นใจว่า “เพราะเมื่อครู่นางลังเลตอนตอบอย่างไรเล่า ถ้าเป็นเมื่อก่อน พี่ฉิงจะตอบทันทีว่าจะไปกับข้า ดังนั้นเจ้าอ๋องต้องพิเศษสำหรับนางแน่”
แม้หลิวฉิงจะลังเลไม่ถึงหนึ่งวินาที แต่ด้วยความรู้ใจและสนิทกันมาหลายปี นางจึงสังเกตเห็นได้ทันที
เซียวปี้เฉิง “...”
สัมผัสที่หกของผู้หญิงน่ากลัวเหลือเกิน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ
วิธีเติมเหรียญตรงไหนอย่างไร...
จะมีอัพต่อจนจบไหมค่ะแอด...
นึกว่าจะอัพจนจบเสียอีกค่ะ กำลังสนุกเข้มข้นเชียว...
รบกวนแอดช่วยอับต่อไปให้จบเรื่องได้ไหมคะ รออ่านอยู่น้า...
ตอนต่อไปอ่านที่ไหนคะ...
ตอนต่อไป อัพช่วงไหนคะ 😭😭😭...
อัพต่อเถอะนะคะ...กำลังสนุกเลยค่ะ😅😄😊😘...
สนุกมากค่ะ..เดินเรื่องเร็ว..พระเอกไม่โง่..นางเอกฟาดแรงสะใจ...อ่านแล้วบันเทิงมาก55555......
ขอบคุณค่ะ...
รีบมาต่อนะคะ กำลังสนุกเลย...