พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 380

เซียวปี้เฉิงเองก็ตกใจไปโดยปริยาย

ความทรงจำที่มีต่อพี่ใหญ่คืออ่อนโยนใจดีและมีอัธยาศัยดีมาโดยตลอด

เขาเป็นคนที่นิสัยดีมาก น้อยครานักที่จะตีโพยตีพาย หงุดหงิดโมโห หรือมีอารมณ์แปรปรวน โดยพื้นฐานแล้วล้วนแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอวิ๋นหลิง

เซียวปี้เฉิงเองก็เพิ่งเคยเห็นเขาเสียกิริยาเช่นนี้เป็นคราแรก

รุ่ยอ๋องก่อเรื่องจนดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากมาย เมื่อครู่กู้ฉางเซินกำลังหารือกิจทางราชการกับเซียวปี้เฉิงอยู่พอดี จึงได้หยุดยืนรับชมอยู่ไม่ไกลด้วย

“ฮือ ฮือ ฮือ...ฉานเอ๋อร์...อ๊า!”

ลุ่ยอ๋องร่ำไห้อย่างรุนแรง ไม่นานก็เริ่มสะอึกสะอื้นออกมา จนทั้งร่างจนหอบหายใจแทบไม่ทัน

จากเหตุการณ์ดังกล่าว พระพักตร์ชราของจักรพรรดิจาวเหรินคงจะสูญสิ้นไปอย่างสิ้นเชิง สมควรแล้วเพราะปกติเขาก็มักจะลำเอียงเข้าข้างรุ่ยอ๋อง

อวิ๋นหลิงลอบยินดีในใจ กอดอกก้าวไปข้างหน้าใช้เท้าสะกิดรุ่ยอ๋องเบาๆ

"นี่ เจ้าเป็นอันใดหรือไม่?"

รุ่ยอ๋องมองนางทั้งน้ำตา ร้องไห้สะอึกสะอื้น เศร้าเกินกว่าจะเอ่ยคำใดออกมาได้

“ก่อนหน้านี้เสด็จพ่อบอกว่าเจ้าป่วยมากจนลุกจากเตียงไม่ได้ ข้าเห็นว่าเจ้าไล่ตามรถม้าได้อย่างบ้าคลั่ง ซ้ำยังร่างกายฟื้นตัวได้ดีด้วย”

“ในเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดี ไม่สู้เข้าวังไปรับโทษโบยยี่สิบไม้โทษฐานบุกรุกคุกใต้ดินดีหรือไม่? ข้าจดจำแทนเจ้าไว้แล้ว ไม่ต้องขอบใจ”

รุ่ยอ๋องราวกับคาดไม่ถึงว่าในยามนี้นางยังจะพูดจาไร้ซึ่งความปราณีอยู่เช่นนี้ออกมา ดวงตาก็พลันเบิกกว้างในทันที ส่วนสีหน้าก็ตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

"เจ้า……"

เขาอยากจะเอ่ยบางอย่าง แต่น้ำตากลับไหลออกมาจนหายใจแทบไม่ทัน กลอกตาเป็นลมไปจากการร้องไห้

เซียวปี้เฉิงตกใจมาก "พี่ใหญ่! ท่านเป็นอะไร!"

หลิวฉิงชำเลืองมองรุ่ยอ๋องด้วยท่าทางที่อธิบายไม่ถูก นี่จะใช่คนโง่ชั้นเยี่ยมที่อวิ๋นหลิงพูดถึงก่อนหน้านี้หรือเปล่านะ?

มันยิ่งกว่าที่คิดซะอีก!

กู้ฉางเซินเองก็สายตาลึกล้ำ กล่าวพึมพำ "ที่แท้ก็คือรุ่ยอ๋องนี่เอง"

องค์ชายใหญ่ของจักรพรรดิที่มีหน้าตาเป็นเช่นนี้นี่เอง วันนี้นับว่าได้เป็นการเปิดหูเปิดตาแล้ว

ชาวเป่ยฉินเชื่อว่าตนเองถึงจะเป็นทายาทแต่เดิมของจักรพรรดิองค์แรก และอีกสามแคว้นอย่างไรก็ไม่อาจเทียบความแข็งแกร่งของแคว้นเป่ยฉินได้

เมื่อก่อนกู้ฉางเซินไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ โดยคิดว่าความคิดนี้เหนือกว่าและหยิ่งผยองเกินไป แต่เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของรุ่ยอ๋อง ฉับพลันเขาก็พอเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว...

ยากที่จะจินตนาการว่าเซียวปี้เฉิงและอีกฝ่ายเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ทั้งสองห่างไกลกันมากโข

เซียวปี้เฉิง "..."

หากยามนี้เขาจะหารอยร้าวบนพื้นแล้วมุดตัวเข้าไปจะทันหรือไม่?

เมื่อถูกสายตาที่แปลกประหลาดจากผู้อื่นจ้องมองมา หนังศีรษะของเซียวปี้เฉิงก็ชาดิก รีบลากรุ่ยอ๋องไปยังห้องรับรองแขกราวกับลากหมูอย่างไรอย่างนั้น

บาดแผลบนร่างของรุ่ยอ๋องยังไม่หายดี บาดแผลเมื่อครู่ที่ถูกจัดการเรียบร้อยก็ยังฉีกออกอีกครั้ง บนเสื้อผ้าก็มีเลือดไหลซึมออกมา

ฉู่อวิ๋นหานลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมนัก แทงเขาไปถึงหกแผลด้วยกัน เพียงแค่แผลที่แขนทั้งสองข้างและบริเวณหลังก็มีอยู่ถึงสี่ห้าแผลแล้ว

“ข้าว่า ควรให้เขาได้รับความเจ็บปวดบ้าง จะได้จำขึ้นใจ”

แม้จะเอ่ยไปเช่นนั้น อวิ๋นหลิงยังคงโยนขวดน้ำเซียนหนึ่งขวดให้ตงชิงไป ให้นางเอาไปทำแผลให้กับรุ่ยอ๋อง

เมื่อเซียวปี้เฉิงได้รู้ที่มาที่ไปของเรื่องนี้แล้ว สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย “พี่ใหญ่มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อหรงฉานเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อใดกัน?”

“ผู้ใดจะไปรู้กัน รู้ว่าผิดก็ยังจะทำ คนเราก็เป็นเช่นนี้ ยามมีก็จะหวงแหน สูญเสียไปถึงจะเริ่มเสียใจภายหลัง”

ยังไม่ทันได้เจาะลึกถึงขั้นตอนการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างรุ่ยอ๋องสามีภรรยา เมื่อตกใจของลู่ฉีก็ดังมาจากข้างนอก

"พระชายา ท่านอ๋อง!"

อวิ๋นหลิงผลักประตูออกไป ขณะกำลังจะถามเขาว่าเหตุใดเขาถึงดีใจเช่นนี้ แต่กลับเห็นในอ้อมแขนของลู่ฉีอุ้มลูกหมูที่เชื่อฟังไว้สองตัว พลางส่งเสียงร้อง "ฟุดฟิด ฟึดฟัด"

"นี่คือ……"

“นี่คือลูกหมูที่พวกเราเลี้ยงไว้ในจวนพะยะค่ะพระชายา!” ลู่ฉีอุ้มลูกหมูขึ้นมาอย่างมีระรื่นและยื่นให้นางดู “ขณะนั้นจึงได้อุ้มเจ้าสองตัวนี้ไปแทนเหล่าองค์ชายพะยะค่ะ!”

เขาอธิบายว่า เมื่อครู่มีชาวบ้านมารอพบอยู่ที่หน้าประตูจวนจิ้งอ๋อง โดยบอกว่าจับลูกหมูสองตัวได้ในป่านอกเมืองเมื่อไม่กี่วันก่อน บนก้นมีตราประทับอยู่ มองดูแล้วราวกับลูกหมูป่า

ต่อมาได้สอบถามไปรอบหนึ่ง จึงได้ทราบว่าสัญลักษณ์นั้นเป็นตราประทับของจวนจิ้งอ๋อง ถือโอกาสขณะที่เข้าเมืองมาซื้อของ จึงได้นำลูกหมูมาส่งคืนพวกเขาด้วย

สตรีนอกรีตเช่นอวิ๋นหลิง เป็นสิ่งที่เขากลัวและต้องการจะหลีกเลี่ยง

แต่หรงฉานไม่เหมือนกัน นางพอเหมาะพอควร ไม่คล้ายกับฉู่อวิ๋นหานที่รู้กฎเกณฑ์ และไม่คล้ายอวิ๋นหลิงที่ป่าเถื่อน

เมื่อทั้งสองอยู่ร่วมกัน เขาทําหลายสิ่งหลายอย่างที่เมื่อก่อนดูเหมือน "ไร้กฎเกณฑ์" ทั้งสองมีความชอบแตกต่างกัน แต่ในขณะเดียวกันก็มักจะถกเถียงกัน แต่น้อยครั้งที่จะเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ

แต่ทว่าการเอะอะโวยวายกับหรงฉาน กลับทำให้รุ่ยอ๋องชีวิตดูมีสีสันมากยิ่งขึ้น

เขาอธิบายไม่ถูกว่ามันเป็นความรู้สึกเช่นไร ทุกครั้งที่เขาอยู่กับนาง ชั่วขณะนั้นทุกอย่างก็ดูเหมือนจะผ่อนคลายและชวนให้คนสบายใจมากขึ้น

พอตั้งสติได้จึงพบว่า เขาเหมือนจะขาดอีกฝ่ายไม่ได้แล้ว

แต่มันสายเกินไปแล้ว

สายตาของรุ่ยอ๋องเจ็บปวด ฝืนร่างกายที่บอบช้ำ ตั้งใจจะลุกขึ้นจากไป

เขาไม่อาจอยู่ในจวนจิ้งอ๋องได้นานเกินไป ไม่เช่นนั้นอวิ๋นหลิงคงจะลากเขาไปโบยได้

เมื่อนึกได้ถึงตรงนี้ รุ่ยอ๋องก็ตื่นตระหนกและอดไม่ได้ที่จะเร่งฝีเท้าขึ้น

หมูอ้วนที่เลี้ยงมานานนับปีกำลังจะถูกเชือดในที่สุด นอกจากจะเหลือบางส่วนไว้สำหรับงานเลี้ยงคืนแล้ว คืนนี้ยังสามารถปรุงอาหารมื้อพิเศษขึ้นได้อีกด้วย

ทั่วทั้งจวนจิ้งอ๋องต่างก็เต็มไปด้วยความสุข มีเพียงรุ่ยอ๋องที่เดินผ่านระเบียงไปด้วยความเศร้าโศก ความสุขและความทุกข์ของมนุษย์ไม่เหมือนกัน เขารู้สึกเพียงแต่ว่ารอบข้างช่างหนวกหูยิ่งนัก

เมื่อเดินไปยังเรือนด้านหน้า เฉียวเย่และคนอื่นๆเห็นเขาต่างก็รีบร้อนเข้ามาคารวะ

“รุ่ยอ๋อง ไม่นานก็จะได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ท่านทานอาหารเย็นก่อนค่อยไปเถิด?”

รุ่ยอ๋องส่ายหัวราวกับกลองสั่น “ไม่ ไม่ต้อง! ข้าไม่อยากอาหาร... ฝากเจ้าขอบใจน้องสามและน้องสะใภ้สามที่ดูแลข้า ข้ายังมีธุระต้องกลับจวนก่อน”

เขาเร่งฝีเท้าขึ้น อาศัยที่ที่อวิ๋นหลิงและคนอื่นๆยุ่งวุ่นวายกันอยู่ หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเสียดีกว่า

อวิ๋นหลิงยุ่งอยู่กับการสอนหลิวฉิงให้ฆ่าหมู จึงไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องอื่น

หลังจากทำงานไปราวหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ฆ่าหมูได้สำเร็จ คืนนั้นกลิ่นหอมของเนื้อก็ลอยฟุ้งไปทั่วจวน

ลู่ฉีลูบหัวลูกหมูสองตัวด้วยความรักความสงสารที่สูญเสียพ่อไปหลังจากกลับมาถึงบ้าน จากนั้นจึงหันไปกินชามใหญ่สามชามด้วยน้ำตาคลอเบ้า

ค่ำคืนนี้ทุกคนล้วนแต่มีความสุข ยกเว้นหมู

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ