ประธานตัวร้ายกับยัยจอมแสร้ง นิยาย บท 1

ที่โรงพยาบาล

เมิ่งหว่านชูรูปร่างผอมบางกำลังใช้แรงทั้งหมดเท่าที่เธอมี แบกชายหนุ่มเลือดท่วมคนหนึ่งมาที่ช่องลงทะเบียนผู้ป่วยฉุกเฉิน

“ผู้ป่วยฉุกเฉินค่ะ เขาประสบอุบัติเหตุรถยนต์หมดสติไป!” เมิ่งหว่านชูพูดอย่างเร่งรีบ

เธอรู้สึกว่าวันนี้โชคร้ายจริงๆ

ในขณะที่เธอกำลังขี่จักรยานไฟฟ้าส่งอาหาร รถบรรทุกขนาดใหญ่ขับฝ่าไฟแดงมาชนรถเฟอร์รารี่ที่อยู่ข้างๆ

รถเฟอร์รารี่คันนั้นเสียหายยับเยิน กระจกแตกกระจาย ท้ายรถมีไฟลุกพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ ส่วนคนขับนั้นเลือดเต็มตัวนอนหมดสติอยู่ในรถเมิ่งหว่านชูเองก็ไม่รู้ไปเอาความกล้าหาญมาจากไหน ตรงรี่เข้าไปลากชายคนนั้นออกมาโดยไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง

หลังจากที่ลากออกมาได้เพียงไม่กี่เมตร ‘ตู้ม!’ รถยนต์ก็ระเบิดขึ้น

เมิ่งหว่านชูรู้สึกสะพรึง ถ้าช้ากว่านี้อีกนิดเดียว ก็คงระเบิดไปพร้อมกับรถแล้ว!

ชายหนุ่มได้รับบาดเจ็บสาหัสคว้าข้อมือของเธอเอาไว้อย่างแรงราวกับกำลังคว้าความหวังสุดท้าย แล้วพูดด้วยอาการสะลึมสะลือว่า “ช่วยด้วย! พาผมไปโรงพยาบาลที...ผมจะให้คุณหนึ่งร้อยล้าน...”

ร้อยล้าน!

เธอคงไม่ได้ช่วยชีวิตมหาเศรษฐีเข้าหรอกนะ

พนักงานที่ช่องการเงินเอ่ยถาม “ชื่ออะไรคะ”

ในขณะที่เมิ่งหว่านชูกำลังจะตอบ

พนักงานเงยหน้าขึ้นมองเธอ แล้วท่าทีก็เปลี่ยนไปทันที “อา ที่แท้ก็คุณหลีอวิ่นเอ๋อร์ลูกสาวผู้อำนวยการนี่เอง... คุณหลี รอสักครู่นะคะ ทางเราจะรีบตามหมอให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ...”

เมิ่งหว่านชูยิ้มเจื่อน

หลีอวิ่นเอ๋อร์คือพี่สาวแท้ๆ ของเธอ ทั้งสองมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน แต่ชะตากรรมนั้นกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง

เพราะตอนที่เกิด เธอถูกลักพาตัวไป และถูกส่งต่อไปขายให้พ่อแม่บุญธรรมในปัจจุบัน

ทว่าเมื่อเดือนที่แล้ว พ่อแม่บุญธรรมประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์บาดเจ็บสาหัส จนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมาก

ตอนนั้นเองจู่ๆ พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดก็ปรากฏตัว และบอกว่าสามารถช่วยพ่อแม่บุญธรรมของเธอได้ แต่มีเงื่อนไขว่าเธอจะต้องบริจาคไขกระดูกให้ลูกชายคนเล็กของตระกูลหลีที่เป็นลิวคีเมีย แล้วยังห้ามเธอเปิดเผยใบหน้าที่เหมือนกันกับหลีอวิ่นเอ๋อร์สู่สาธารณชนอีกด้วย

จ้าวรั่วหลานผู้เป็นแม่แท้ๆ บอกว่า “หลีอวิ่นเอ๋อร์ของเราเชี่ยวชาญศิลปะสี่แขนง ทั้งวาดภาพ กาพย์กลอน หมากล้อม และดนตรี แล้วยังเป็นหญิงงามแห่งหลานเฉิงอีกด้วย ส่วนเธอก็แค่เด็กสาวบ้านนอก พาออกงานก็ขายขี้หน้าเปล่าๆ จะให้การมีอยู่ของเธอทำลายชื่อเสียงของอวิ่นเอ๋อร์ไม่ได้เด็ดขาด”

เพื่อให้พ่อแม่บุญธรรมได้รับการรักษา เมิ่งหว่านชูจำต้องตอบตกลง

ตลอดเวลาที่อยู่หลานเฉิง โดยปกติเธอจะแต่งหน้าให้ขี้เหร่ แต่วันนี้เธอออกมาส่งอาหารกะดึกจึงขี้เกียจแต่งหน้า ไม่คิดว่าจะมีคนจำเธอได้ แล้วยังพลาดเข้าไปในโรงพยาบาลของพ่อแท้ๆ อีก เธอจำต้องยอมรับอย่างช่วยไม่ได้ว่าเธอคือ ‘หลีอวิ่นเอ๋อร์’ แถมสำรองเงินห้าพันเป็นค่าผ่าตัดในนามของหล่อนอีกด้วย

หลังจากเรียบร้อยดีแล้ว เธอกลับถึงบ้านเช่าและรีบอาบน้ำด้วยความเหนื่อยล้า ขณะที่กำลังซักเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อน เธอพบแหวนเพชรสีดำทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนวงหนึ่งในกระเป๋าเสื้อ

คงจะเป็นตอนที่ชายคนนั้นคว้าเสื้อของเธอ แหวนวงนี้จึงหล่นเข้ามาในกระเป๋าหรือเปล่านะ

เธอไม่ได้คิดอะไรมากจึงวางแหวนลงบนโต๊ะ เตรียมจะงีบพักสักครู่หนึ่ง

ไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าไรแล้ว มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

เธอสวมรองเท้าแตะแล้วเดินไปเปิดประตู

“เมิ่งหว่านชู เธอนี่มันหน้าไม่อายจริงๆ เธอลืมสิ่งที่ฉันเคยพูดกับเธอไปแล้วหรือไง”

หลีอวิ่นเอ๋อร์ผู้มีรูปร่างสะโอดสะองเดินเข้ามาตบหน้าเมิ่งหว่านชู “ตอนที่มาหลานเฉิง ฉันก็เตือนเธอไปแล้วนะว่าห้ามใช้ ‘หน้าตาของฉัน’ แอบอ้างไปทั่ว ไม่สนใจชีวิตของพ่อแม่บุญธรรมแล้วหรือ”

เมิ่งหว่านชูรู้สึกโกรธมาก เธอตบหน้าหลีอวิ่นเอ๋อร์กลับทันที

เพื่อรักษาชีวิตของพ่อแม่บุญธรรม เธอจำยอมแบกรับความลำบากใจจากพ่อแม่แท้ๆ แต่เธอไม่ใช่คนที่ยอมให้คนอื่นรังแกง่ายๆ แล้วก็ไม่ใช่พวกรังแกคนอ่อนแอเข้าหาผู้มีอำนาจประเภทนั้น

หลีอวิ่นเอ๋อร์กรีดร้องทันที “เมิ่งหว่านชู เธอกล้าตบฉันหรือ”

เมิ่งหว่านชูแรงเยอะกว่าหลีอวิ่นเอ๋อร์มาก ตบเพียงฝ่ามือเดียวก็ทำให้แก้มของเธอบวมขึ้น

เมิ่งหว่านชูสะบัดมือที่ตบจนเจ็บของเธอ แล้วเลิกคิ้วงามๆ ขึ้นเล็กน้อย “ตบเธอนี่คืออดทนแล้วนะ!

ฉันไม่ใช่แม่ของเธอสักหน่อย จะได้ยอมนิสัยจองหองของเธอ”

“เธอพาผู้ชายไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเข้ามาที่โรงพยาบาลของพ่อตอนดึกๆ ถ้าเรื่องแพร่งพรายออกไปจะให้ฉันทำยังไง เธอยังจะมีหน้าปากดีอีกหรือ!”

หลีอวิ่นเอ๋อร์โกรธหน้าดำหน้าแดงชี้มาที่เธอ “ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อเช้ามีคนมาบอกพ่อฉันละก็ ฉันก็ยังคงจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย! แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเธอจะเอาชื่อของฉันไปทำเรื่องสกปรกน่าละอายอีกเท่าไหร่!”

“หน้าของเธอ...หึ”

เมิ่งหว่านชูหัวเราะเยาะตัวเอง ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

ดูโชคชะตาที่ไม่ยุติธรรมนี้สิ แม้แต่รูปลักษณ์ที่มีมาแต่กำเนิดก็ยังไม่สามารถเปิดเผยได้

ขณะนั้น โทรศัพท์มือถือของหลีอวิ่นเอ๋อร์ก็ดังขึ้น

เธอเดินหลบไปด้านข้างเพื่อรับโทรศัพท์ สายตาพลันเหลือบไปเห็นแหวนเพชรสีดำบนโต๊ะวงนั้นพอดี

แหวนวงนี้ รู้สึกคุ้นตา...

“หม่ามี้ มีอะไรหรือคะ” เธอถาม

“พระเจ้า ลูกรัก ลูกไปช่วยชีวิตคุณชายฉิงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ไม่บอกหม่ามี้สักคำ เมื่อครู่นี้คนตระกูลฉิงมาที่บ้านแล้วขอนัดเจอลูกสัปดาห์หน้า”

จ้าวรั่วหลานที่อยู่ปลายสายปลาบปลื้มใจอย่างมาก แม้แต่เสียงพูดก็ยังสั่นเล็กน้อย

“คุณชายฉิงหรือคะ”

หลีอวิ่นเอ๋อร์มองแหวนบนโต๊ะ ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่ไปร่วมงานเลี้ยงไฮโซ หนึ่งในรูปภาพของคุณชายฉิงที่พวกเขาส่งกันก็มีรูปของแหวนวงนี้อยู่ด้วย

แหวนเพชรตกทอดจากบรรพบุรุษแก่ทายาทตระกูลฉิง

เมื่อลองนึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่เมิ่งหว่านชูอยู่ที่โรงพยาบาล หลีอวิ่นเอ๋อร์ก็เข้าใจในทันที ที่แท้เมื่อวานเมิ่งหว่านชูช่วยชีวิตของฉิงมั่วหันเอาไว้นี่เอง!

และเพราะเมิ่งหว่านชูแจ้งชื่อของเธอแก่โรงพยาบาล ทำให้ฉิงมั่วหันเข้าใจว่าเธอเป็นคนช่วยชีวิตเขา

เธอกลายเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตคุณชายฉิงผู้ยิ่งใหญ่ไปโดยไม่คาดฝัน!

นี่มันน่ายินดียิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่เสียอีก

“หม่ามี้ ตอนนี้หนูติดธุระนิดหน่อย กลับไปค่อยคุยกันนะคะ”

หลีอวิ่นเอ๋อร์สะกดความดีใจเป็นบ้าเป็นหลังของเธอไว้ ฉวยโอกาสตอนที่เมิ่งหว่านชูเผลอคว้าเอาแหวนบนโต๊ะไป เธอเดินมาตรงหน้าเมิ่งหว่านชู และพูดอย่างหยิ่งผยองว่า “ถ้าคราวหน้ามีแบบนี้อีก รอเก็บศพพ่อแม่บุญธรรมได้เลย”

แล้วจากไปอย่างขุ่นเคือง

เมิ่งหว่านชูกลับมานอนต่อ เดิมทีตั้งใจแค่จะงีบสักพัก แต่คาดไม่ถึงว่าเธอจะนอนเพลินไปหน่อย

เวลานี้ เธอไม่สนใจจะเก็บเรื่องหลีอวิ่นเอ๋อร์มารกสมอง เธอสวมหน้ากาก แล้วรีบไปหาชายคนนั้นที่โรงพยาบาล

ค่าตอบแทนจำนวนหนึ่งร้อยล้าน

นั่นแลกมาด้วยชีวิตของเธอเชียวนะ

แต่ใครจะรู้ เมื่อเธอไปถึงโรงพยาบาล นางพยาบาลแจ้งว่าชายคนนั้นตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วออกไปจากโรงพยาบาลทันที

เขาไม่ได้ทิ้งข้อมูลสำหรับการติดต่อไว้เลย

แต่จู่ๆ ฉิงมั่วหันที่เดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็หยุด เมิ่งหว่านชูไม่ทันระวังจึงเดินชนเข้าที่หลังของเขาอย่างจัง “โอ๊ย...นาย...”

ฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่มคว้าหมับที่คอของเธอทันที แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “บอกมา เธอเป็นใคร”

“เจ็บ...”

สมองของเมิ่งหว่านชูที่หายใจไม่ออกกำลังขาดออกซิเจน เธอตีมือของฉิงมั่วหัน “ปล่อยฉันนะ ฉัน...ฉันหายใจไม่ออก”

เมื่อได้ยินเสียง ฉิงมั่วหันขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วดึงหมวกพนักงานรักษาความปลอดภัยของเธอออก “เธอเป็นผู้หญิงหรือ”

เนื่องจากเมิ่งหว่านชูทำงานในคลับเฮาส์ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกรังแก เธอจึงมักจะดัดเสียงและแต่งหน้าให้เหมือนผู้ชาย

นอกจากผู้จัดการและแผนกรักษาความปลอดภัยแล้ว มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าเธอเป็นผู้หญิง

“อือ อือ”

“บอกมา ใครส่งเธอมาที่นี่”

“ฉัน...ฉันแค่อยากจะ...”

ไม่รอให้เมิ่งหว่านชูพูดจบ ฉิงมั่วหันแทรกทันที “อยากเป็นผู้หญิงของฉัน?”

เขารู้สึกมาแต่แรกแล้วว่าพนักงานรักษาความปลอดภัยคนนี้ทำตัวลับๆ ล่อๆ แล้วเหล้าในวันนี้ก็ถูกวางยาเช่นกัน

ที่แท้ ผู้หญิงคนนี้วางยาเขา แล้วคิดจะปีนขึ้นเตียงของเขา

เมิ่งหว่านชูถูกบีบคอจนแทบจะขาดใจตาย

ไอ้ผู้ชายเลว เนรคุณ!

เธอด่าด้วยความโกรธ “อยาก...อยากแม่แก...”

ยังไม่ทันพูดจบ ชายหนุ่มคลายมือของเขาจากคอของเธอ

เมิ่งหว่านชูร่วงลงไปที่พื้น เธอยันมือขึ้นพร้อมกับหายใจหอบและไอไม่หยุด

ในเวลานี้ เธอเพิ่งจะรู้ว่า ชั้นที่สามสิบแปดทั้งชั้นเป็นห้องพักส่วนตัว

ดีไซน์การตกแต่งเป็นสีเทาเงินเย็นๆ ดูหรูหรามีระดับ

ดูเหมือนว่า ฉิงมั่วหันจะรู้ตัวก่อนแล้วว่าเธอไม่ปกติ

“รู้ไหมว่า ฉันฉิงมั่วหันเกลียดอะไรที่สุด” ดวงตาของชายหนุ่มแดงก่ำ และพูดด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม

“แค่กๆๆ...”

เมิ่งหว่านชูถูกบีบจนเจ็บคอ นอกจากไอแล้ว ก็ยังพูดอะไรไม่ออก

“ในเมื่อวอนหาที่ตาย ก็จะให้สมใจ”

พูดเสร็จ ฉิงมั่วหันคว้าแขนของเธอขึ้นเหมือนกำลังหิ้วไก่ลากเธอเข้าไปในห้องแล้วโยนลงบนเตียง

“เฮ้ นาย...นายจะทำอะไร”

เมิ่งหว่านชูตกใจ การเผชิญหน้ากับฉิงมั่วหันนั้นค่อนข้างน่ากลัว

เธอเห็นชายหนุ่มดึงเนกไทออกด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็กดรีโมตสั่งปิดผ้าม่านในห้อง พริบตาเดียวทุกอย่างก็เปลี่ยนเป็นมืดสนิท

มีเพียงเสียง ‘แคว่ก’ ดังขึ้นภายใต้ความมืดมิด เสื้อผ้าของเมิ่งหว่านชูถูกฉิงมั่วหันกระชากฉีกออก

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ประธานตัวร้ายกับยัยจอมแสร้ง