หนานซ่งหันหน้าไป สายตาของเธอประสานเข้ากับสายตาของเขาพอดี
ดวงตาทั้งสองข้างของเขาดำสนิท พอมีแสงตกกระทบ มันก็เป็นประกายราวกับหินออบซิเดียน นัยน์ตาของเขาเป็นประกาย ทั้งน่ามองแล้วก็ชวนให้ลุ่มหลง
เธอมองเขาไม่หลบสายตาไปไหน และรู้สึกว่าตัวเองนั้นพูดอะไรไม่ออก
ผู้ชายคนนี้ตั้งแต่กลับมา ไม่รู้ว่าเขาโดนพ่อกับแม่เธอสกัดจุดตรงไหนเอาไว้หรือเปล่า เพราะหลัง ๆ เขาชอบพูดจาทะเล้นทะลึ่ง ตรรกะความคิดของเขาก็เปลี่ยนไปจากเดิมลิบลับ เขามักจะทำให้เธอตกหลุมพรางโดยที่ไม่ทันระวังตัว
ที่สำคัญก็คือ ทำไมพอฟัง ๆ แล้วมันถึงได้รู้สึกว่ามีเหตุผลด้วยนี่แหละ
เธอหรี่ตาทั้งสองข้างลง จากนั้นก็กัดฟันพูดออกมา "ถ้าเกิดว่าคุณอยากตาย ก็บอกมาเลยตรง ๆ ฉันสามารถช่วยสงเคราะห์คุณได้"
ยวี่จิ้นเหวินหัวเราะออกมาอย่างไม่ใส่ใจ: "ผมรู้ว่าคุณเป็นคนปากร้ายใจดี คุณไม่กล้าหรอก"
"ฉัน......"
หนานซ่งมองผู้ชายคนนี้ที่หน้าหนายิ่งกว่ากำแพงของเมืองซีอานในยุคโบราณ ก็นึกอยากจะต่อยเขาสักสองสามที แต่สายตาของยวี่จิ้นเหวินกลับมองไปทางด้านหลังเธอ "ออกมาแล้ว"
ยวี่เฟิ่งเจียวกับติงเหมาเดินจับมือกันออกมา ในมือของแต่ละคนถือเล่มทะเบียนสีแดงกันเอาไว้คนละเล่ม กำลังเดินออกมาจากสำนักงานกิจการพลเรือน
แม้จะอยู่ใต้แสงอาทิตย์ แต่รอยยิ้มของทั้งสองคนนั้นดูสดใสยิ่งกว่าแสงอาทิตย์เสียอีก
ยวี่จิ้นเหวินกับหนานซ่งลงมาจากรถ
ติงเหมาดีใจจนกระโดดตัวลอย "ต่อไปฉันก็คือผู้ชายที่แต่งงานแล้ว! ฮ่า ๆ !"
"ดูดีใจเข้าสิ ขอดูหน่อยสิคะ"
หนานซ่งรีบหยิบเล่มทะเบียนสมรสของพวกเขามาดู บนสมุดเล่มสีแดง มีรูปภาพที่ทั้งสองคนยืนคู่กันอยู่ พวกเขายกยิ้มให้กันอย่างสดใส และชื่อของพวกเขาก็ถูกเขียนเอาไว้ข้าง ๆ กัน พร้อมกับมีตราประทับอยู่ด้านบน
ต่อไปติงเหมาและยวี่เฟิ่งเจียวก็คือคู่รักที่ถูกต้องตามกฎหมาย และถูกยอมรับโดยประเทศนี้แล้ว!
"ทำไมถึงเข้าไปนานนักละครับ?"
ยวี่จิ้นเหวินเองก็ดีใจตามไปด้วยเหมือนกัน แต่เขากลับดีใจมากจนพูดอะไรไม่ออก ดังนั้นจึงพูดเรื่องอื่นออกมา
"เลิกพูดเถอะ เขาน่ะ อยากจะกล่าวคำสาบานในวันแต่งงานให้ได้น่ะสิ ไปเบียดกับคู่รักวัยรุ่นอยู่หลายคู่ แถมไม่อายคนอีกต่างหาก พอจดทะเบียนเสร็จแล้วออกมาเจอใครก็เดินอวดเขาไปทั่ว วันนี้บังเอิญมีหนังสือพิมพ์มาทำการสำรวจที่สำนักงานกิจการพลเรือนพอดี พอรู้ว่าพวกเราอายุเยอะกันขนาดนี้แล้วแต่เพิ่งจะได้จดทะเบียนสมรส ก็เลยขอใช้คู่ของเราเป็นคู่หลักในการสัมภาษณ์ รั้งพวกเราเอาไว้ถามคำถามอยู่ตั้งนาน......" ยวี่เฟิ่งเจียวเล่าไปก็หน้าแดงไป เธอหันไปถลึงตาใส่เขาครั้งหนึ่ง
ติงเหมาหัวเราะ "แหะ ๆ ๆ " จากนั้นก็พิงตัวเธอ "ช่วยไม่ได้ วันนี้เป็นวันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฉันเลยนะ ที่ได้แต่งงานกับภรรยาที่ทั้งสวยทั้งเก่งแบบนี้ ยังไงก็ต้องอวด!"
หนานซ่งไม่รู้ว่าตัวเองจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เธอรู้สึกว่าไม่ใช่ติงเหมาที่ไปขอยวี่เฟิ่งเจียวแต่งงาน แต่เป็นยวี่เฟิ่งเจียวต่างหากที่เป็นคนขอติงเหมาแต่งงาน
บนทางกลับเมือง ติงเหมานั่งพิงอยู่กับไหล่ของยวี่เฟิ่งเจียว เขาจับมือเธอเอาไว้แล้วนวดมือของเธอไปมา "ไอ้หยา ต่อไปผมก็คงต้องเรียกคุณว่า 'เมียจ๋า' แล้วสินะ"
"......" ริมฝีปากของยวี่เฟิ่งเจียวกระตุก "อย่างนั้นฉันต้องเรียกคุณว่าอะไร เหล่ากงกง(แปลว่าผัวจ๋า แต่ในนิยายมีการเล่นคำให้คล้ายคำว่า 'กงกง' ที่แปลว่าขันที)?"
ติงเหมา: "......ทำไมฟังแล้วมันดูเหมือนกับผมเป็นขันทีเลยล่ะ?"
ยวี่เฟิ่งเจียวเหลือบตามองเขา "คุณเองก็รู้นี่"
"อย่างนั้นเราก็เรียกกันแบบง่าย ๆ ไหม ผมเรียกคุณว่า 'เมีย' คุณก็เรียกผมว่า 'ผัว' ง่าย ๆ จบ"
"ไม่เอา" ยวี่เฟิ่งเจียวปฏิเสธ
ติงเหมา: "ทำไมล่ะ?"
ยวี่เฟิ่งเจียว "หยาบ"
"......"
ติงเหมาคิดอะไรไม่ค่อยออกแล้ว "อย่างนั้นคุณก็เรียกผมว่า 'ติงติง' ส่วนผมก็เรียกคุณว่า 'เจียวเจียว' ?"
ยวี่เฟิ่งเจียวไม่พูดอะไร แต่เธอเลื่อนสายตาของตัวเองลงไปมองด้านล่าง
"?"
ติงเหมามองตามสายตาของเธอไป อยู่ ๆ ก็นึกอะไรได้ "!" เขารีบหุบขาเข้าหากันในทันที "ไม่ได้! สองแง่สองง่าม เปลี่ยนใหม่!"
ยวี่จิ้นเหวินกับหนานซ่งที่นั่งอยู่ด้านหน้า กลั้นขำจนเจ็บหน้าไปหมด
อาจารย์เนี่ย ก็มีช่วงเวลาที่ดูไม่ฉลาดเหมือนกันนะ
"หัวเราะอะไร! พวกเธอก็มาช่วยฉันคิดเดี๋ยวนี้เลย มีชื่อเรียกแบบไหนที่หวาน ๆ ไม่มีความหมายสองแง่สองง่าม แล้วก็ไม่หยาบบ้าง?"
หนานซ่งทำหน้าทะเล้นใส่เขา
ยวี่จิ้นเหวินได้ฟังก็หัวเราะออกมาด้วยความชอบใจเหมือนกัน "อย่างนั้นก็บังเอิญมากเลยล่ะ เพราะว่าชื่อเล่นของแม่ผมก็คือ 'เฟิ่งหวา' ใช้เป็นคู่กันได้พอดีเลย"
"เฟิ่งหวา?"
ติงเหมาตบเข่าฉาด "ชื่อนี้ดีนะ!"
ยวี่เฟิ่งเจียวเองก็อายจนหน้าแดง "ห้ามเรียกนะ ฉันอายุมากขนาดนี้แล้ว ไม่ใช่เด็กเล็ก ๆ เสียหน่อย"
"พวกเราทำตัวเป็นวัยรุ่นไม่รู้จักแก่ มีอะไรไม่ดีกันเล่า?"
ติงเหมากลับรู้สึกว่าแบบนี้น่ะดีมากต่างหาก เขาโอบไหล่ของยวี่เฟิ่งเจียวเอาไว้ แล้วพูดขึ้น: "ที่จริง ที่อาจารย์แม่ของผมตั้งชื่อเล่นผมว่า 'ถงหวา' ในตอนนั้นยังมีอีกความหมายหนึ่งด้วยนะ สาวสวยจะพักใต้ต้นอูถงเท่านั้น เรื่องเล่าสมัยจีนโบราณที่คอยเล่าต่อ ๆ กันมาว่า สาวสวย จะหยุดพักใต้กิ่งก้านของต้นอูถงเพียงเท่านั้น เธอบอกว่า ผมน่ะจะต้องสามารถหาผู้หญิงสวย ๆ มาเป็นภรรยาได้แน่ ๆ ดูสิ ผมก็คือต้นอูถงของคุณ แล้วคุณก็คือสาวสวยของผม"
เพียงประโยคเดียว ทำเอายวี่เฟิ่งเจียวน้ำตารื้นมาอยู่ที่ขอบตา
ยวี่จิ้นเหวินกับหนานซ่งที่นั่งอยู่เบาะหน้า ได้ฟังก็รู้สึกขนลุกเกรียว แต่ว่าก็รู้สึกซึ้งไปด้วยเหมือนกัน
บางที เรื่องพรหมลิขิต อาจจะลิขิตมาแล้วก็ได้
******
วันนี้คือวันที่ติงเหมาแล้วก็ยวี่เฟิ่งเจียวจดทะเบียนสมรสกัน ถือเป็นวันดีวันหนึ่ง นายท่านยวี่ก็เลยสั่งทุกคนเอาไว้ตั้งแต่เช้าว่า ให้ทุกคนกลับมาที่คฤหาสน์เก่าตระกูลยวี่ให้หมด มาฉลองให้กับพวกเขา
ลั่วอินกับหนานหนิงซงรวมไปถึงซูรุ่ยเองก็กำลังนั่งรถมายังเมืองเป่ย พวกเขาจะมาร่วมแสดงความยินดี
กลับมาจากสำนักงานกิจการพลเรือน ทั้งสี่คนก็เดินเรียงแถวกันเข้าบ้าน แต่ก็สังเกตเห็นว่าที่หน้าประตูคฤหาสน์มีเงาของใครบางคนกำลังยืนอยู่ตรงนั้น
ไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นเสิ่นหลิวซู
เขาสวมสูทสีเทา ยืนพิงอยู่กับกำแพง พอได้ยินเสียงหัวเราะมีความสุขดังเข้ามา เขาก็เงยหน้าขึ้น เห็นว่ายวี่เฟิ่งเจียวกับติงเหมาเดินมาด้วยกัน ใบหน้ามีรอยยิ้มเต็มไปด้วยความสุข
รอยยิ้มนั่น ทำเขาตัวแข็งทื่อไป เขาพยายามพยุงกำแพงให้ตัวเองยืนตัวตรง
รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของยวี่เฟิ่งเจียวเริ่มแข็งค้างและค่อย ๆ หายไปเมื่อหันไปเห็นใบหน้าของเสิ่นหลิวซู
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สอนรักอดีตภรรยา
ต่อๆค่ะรอนานแล้ว...
อยากอ่านเร็วๆทำไงดี...
มีถึงตอนจบมั๊ยค่ะ อ่านสนุกมากเลย อ่านจบตอนทีลง 940 แล้วค่ะมีต่ออีกม่ะค่ะ รอๆอยู่ค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ...
ทำไมตั้งแต่บทที่ 57 ขึ้นไปมี 4-5 บรรทัดตอนสั้นๆล่ะ...
แอด..ช่วยกลับมาลงต่อหน่อยจ้า .อย่าเทกันแบบนี้😄😄...
1...
1...
พี่ยวี่..ตายจริงไหม.ใครเป็นพระเอกอ่ะ😂😂...
สนุกมาก.....
นางเอกไม่น่าให้อภัยนะ เพราะผู้ชายใจดำ ดูแลมาตั้งสามปี ไม่เคยทำดีด้วยแล้วจู่ๆก็ทิ้ง นี่ถ้าไม่ถูกเปิดโปง เขาก็จะแต่งกับนังโจ๋...