สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 1223

ในขณะที่ฉุยอวี้กำลังพูด ฮั่วเทียนเฉิงและศิษย์น้องอีกสองคนมาถึงแล้วเช่นกัน

เขาชอบอยู่เงียบๆ ตามธรรมชาติ อาศัยอยู่ในถ้ำที่อยู่ด้านหลังภูเขามาโดยตลอด ได้ยินเสียงไม่ชัด ถ้าเฟิงเอ้อร์เหนียงไม่ส่งคนมารายงาน เขาก็คงไม่รู้ว่าเหมยชิงเกอถูกโจมตี

เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนเหล่านี้ แต่อาคันตุกะจำนวนมากกับเหมยชิงเกอและฉุยอวี้ก็ยังไม่สามารถรับมือได้ไหว เช่นนั้นต้องเป็นศาสตร์ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง

เขารีบพูดว่า “ข้ารู้จักแม่นางอิน ข้าจะลงเขาไปหานาง”

ฮั่วเทียนเฉิงยังพูดไม่ทันขาดเสียง เขาก็หายตัวไป

ศิษย์น้องต้วนจื่อฉู่รีบเรียกศิษย์ทุกคนอย่างรวดเร็ว ช่วยเหลือเหมยชิงเกอ ฉุยอวี้ และอาคันตุกะทั้งหลายที่ได้รับบาดเจ็บบนภูเขา

พระจันทร์กลมโตค่อยๆ ลับหายไปทางทิศตะวันตก ท้องฟ้าเริ่มเห็นทอแสงขาวเงินจางๆ แล้ว

อินชิงเสวียนชอบนอนตื่นสาย แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ นางถึงได้ตื่นขึ้นมา

เมื่อได้ยินเสียงเสื้อผ้าเสียดสีกัน เย่จิ่งอวี้ก็ลืมตาขึ้นทันที

“เสวียนเอ๋อร์ฝันร้ายหรือเปล่า ทำไมวันนี้เจ้าตื่นเช้าจัง”

อินชิงเสวียนยักไหล่

“บางทีเมื่อคืนข้าอาจจะนอนหลับสบายมาก ตอนนี้นอนอิ่มแล้ว”

นางโน้มตัวลงจูบใบหน้าเล็กๆ ของเสี่ยวหนานเฟิงเบาๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “นอกจากนี้ ตอนนี้เราเป็นแขกที่บ้านของคนอื่น จึงไม่เหมาะที่จะนอนตื่นสายที่บ้านของคนอื่น”

เย่จิ่งอวี้ยกมือขึ้นเท้าคาง แล้วมองดูหญิงสาวร่างบางที่กำลังนั่งแต่งหน้าทำผมอยู่บนเก้าอี้ ดวงตาเต็มไปด้วยความชื่นชม

“เมื่อเรากลับถึงวังแล้ว เจ้าอยากนอนตื่นตอนไหนก็ได้ นอนตราบจนสิ้นดินฟ้า ก็ไม่มีใครมารบกวนเจ้า”

อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นข้ามิกลายเป็นซากดึกดำบรรพ์ไปแล้วหรอกหรือ”

เมื่อได้ยินคำศัพท์ใหม่ เย่จิ่งอวี้ก็ถามด้วยความสนใจทันทีว่า “ซากดึกดำบรรพ์คืออะไร”

“พูดง่ายๆ ก็คือเป็นเพียงตัวอย่างที่นำมาศึกษา เช่น ปลาที่ตายแล้ว แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้ร่างของมันถูกเก็บรักษาไว้เป็นเวลาหลายปี เรียกว่าซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิล อย่างไรก็ตาม มีคำอธิบายเป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับซากดึกดำบรรพ์อีกประการหนึ่งก็คือว่า เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใกล้สูญพันธุ์และวิวัฒนาการช้า”

เย่จิ่งอวี้พยักหน้าด้วยความเข้าใจ ยุคสมัยของนางซับซ้อนมาก ทำไมผู้คนถึงศึกษาเรื่องที่น่าเบื่อเช่นนี้ พวกนักศึกษาไม่ต้องศึกษาเรื่องการพัฒนาบ้านเมืองหรอกหรือ

อินชิงเสวียนหวีรวบผมขึ้นเป็นมวย ข้ามภพมาต้าโจวนานขนาดนี้แล้ว นางก็ได้เรียนรู้วิธีม้วนผมเป็นมวยอย่างง่ายๆ เป็นแล้ว รูปแบบที่ไม่ซับซ้อน การตกแต่งที่เรียบง่ายและสง่างาม กลับทำให้นางดูสะอาดบริสุทธิ์และประณีต

“ข้าจะไปล้างหน้าล้างตาที่มิติก่อน ประเดี๋ยวเราไปหาท่านพ่อและบอกลากันเถอะ จากนั้นค่อยไปที่ตำหนักเทพ ทำตัวเป็นคนกลางช่วยไกล่เกลี่ย สุดท้ายจะคลี่คลายบุญคุณความแค้นนี้ได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับความปรารถนาของพวกเขาแล้ว”

ในฐานะลูกสาว นางไม่สามารถเข้าไปพัวพันกับความคับข้องใจระหว่างพ่อแม่ได้มากนัก เมื่อวานนี้นางได้พูดทุกอย่างที่ต้องพูดไปแล้ว หลังจากพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่โต๊ะอาหารเย็น อินชิงเสวียนรู้สึกได้ว่าเฮ่อยวนไม่ลืมความรู้สึกของเขาที่มีต่อเหมยชิงเกอ

เนื่องจากเฮ่อยวนมีความรักอยู่ในใจ เขาต้องยอมอ่อนข้อให้เหมยชิงเกอแน่นอน เรื่องของพวกเขาสองคน หากคนอื่นเข้าไปยุ่งมากเกินไป ก็อาจส่งผลตรงกันข้าม

นางยังเชื่อด้วยว่าเป็นไปไม่ได้ที่เหมยชิงเกอจะไม่มีความรู้สึกต่อเฮ่อยวน ผู้คนมักจะพูดว่ายิ่งมีความเกลียดชังลึกซึ้งเพียงใด ความรักก็ยิ่งลึกซึ้งพอๆ กัน หากนางไม่รักเขาอีกต่อไป เหมยชิงเกอคงไม่กลายเป็นคนสุดขั้วขนาดนี้

อินชิงเสวียนไม่ได้รับความเจ็บปวดจากผาเฟิงเริ่นมานานกว่าสิบปีเหมือนนาง ย่อมไม่สามารถตัดสินแทนได้มากนัก แม้ว่านางจะไม่ชอบพฤติกรรมของเหมยชิงเกอ แต่หากไตร่ตรองดูจากมุมมองของนาง คนคนหนึ่งถูกมัดไว้ราวกับสัตว์ อดทนต่อความเจ็บปวดจากการถูกสายลมเยียบเย็นเชือดเฉือนทุกวันมาเป็นเวลากว่าสิบปี จนสุดท้ายเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่า ทำได้เพียงคุกเข่าลงบนพื้นเท่านั้น แม้แต่จะยืนคุยกับนาง ก็เป็นสิ่งที่ยากเย็นยิ่งนัก

ผาเฟิงเริ่นไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์ธรรมดาๆ สามารถขึ้นไปได้ ไม่รู้ว่านางใช้ชีวิตอย่างไรในช่วงสิบปีที่ผ่านมา นางต้องมีความเพียรพยายามมากเพียงใด ถึงสามารถเอาชีวิตรอดได้

ถ้าเป็นตัวเอง เกรงว่าคงกัดลิ้นฆ่าตัวตายภายในสิบวันนั้นแล้ว

ในความทุกข์ยากเช่นนี้ ต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมากถึงจะเอาชีวิตรอดได้ ซึ่งในระดับหนึ่ง อินชิงเสวียนก็ยังคงรู้สึกชื่นชมแม่คนนี้

เย่จิ่งอวี้จัดแจงเสื้อคลุมของเขาแล้ว ประกบมือโค้งคำนับ “ขอน้อมรับคำสั่งของภรรยา ภรรยาสั่งให้ไปที่ใด ข้าก็ตามไปที่นั่น ตอนนี้ข้าเป็นผู้คุ้มกันให้เจ้าโดยไม่คิดค่าตอบแทนแล้ว”

อินชิงเสวียนรู้สึกอบอุ่นในใจ นางอาจเป็นคนเดียวในโลกที่สามารถให้ฮ่องเต้เป็นผู้คุ้มกันได้ ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว

“อื้ม ปลุกจ้าวเอ๋อร์กันเถอะ”

ฮั่วเทียนเฉิงไม่มีเวลาพูดคุยตอบโต้กับเขา ถามอย่างเร่งรีบว่า “คุณชายเย่รู้ไหมว่าแม่นางอินอยู่ที่ไหน ตอนนี้แม่และพ่อของนางได้รับบาดเจ็บทั้งคู่ กำลังภายในของคนธรรมดาไม่สามารถรักษาพวกเขาได้ บางทีน้ำพุวิญญาณอาจจะได้ผล คุณชายโปรดแจ้งที่อยู่ของแม่นางอินด้วย”

“โอ้? หมายความว่าอย่างไร”

เย่จิ่งหลานรู้สึกสับสนเล็กน้อย

พ่อแม่แท้ๆ ของยัยบ้านั่นคนหนึ่งเป็นเจ้าเมืองอิ๋นเฉิง อีกคนเป็นเจ้าตำหนักเทพ วรยุทธ์ของทั้งสองคนโดดเด่นยิ่งกว่าใคร แต่กลับได้รับบาดเจ็บทั้งคู่?

สองสามีภรรยาคู่นี้ไม่ถูกกันไม่ใช่หรือ หรือว่าต่อสู้กันแล้ว?

“ไม่ใช่สิ เมื่อคืนเจ้าเมืองเฮ่อไปที่ตำหนักเทพ เหมือนจะไปขอรับผิด แต่จู่ๆ คนชุดดำที่ไม่ปรากฏชื่อก็ปรากฏตัวขึ้น และโจมตีพวกเขาทั้งสองคน”

ฮั่วเทียนเฉิงถอนหายใจและพูดว่า “รายละเอียดเหตุการณ์เป็นอย่างไรนั้น ข้าก็ไม่ทราบ สรุปก็คือเราต้องตามหาแม่นางอินโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นเราสองคนอาจจะไม่รอด”

เมื่อวานนี้เฟิงเอ้อร์เหนียงมาแจ้งแก่เขา ให้รีบไปที่ห้องโถงจื่อชี่ตงไหล ใบหน้าของเฮ่อยวนขาวราวกับกระดาษ เลือดยังคงไหลออกมาจากมุมปาก

เฟิงเอ้อร์เหนียงเพียงแต่บอกว่านางได้รับบาดเจ็บจากคนชุดดำ ฮั่วเทียนเฉิงไม่รู้ว่าเฮ่อยวนถูกเหมยชิงเกอซัดใส่ถึงสองฝ่ามือ

เขารู้ว่าเฮ่อยวนมีวรยุทธ์ล้ำเลิศ ที่เขาได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ จะต้องเป็นคนที่มีพลังมาก หากไม่จัดการบุคคลนี้ ก็คงเป็นภัยคุกคามต่อตำหนักเทพเช่นกัน

สองพี่น้องตระกูลเย่และอินชิงเสวียนต่างก็มีทักษะความสามารถ มีพวกเขาอยู่ด้วย ตำหนักเทพจะปลอดภัยแน่นอน

เย่จิ่งหลานบังเอิญต้องการตามหาอินชิงเสวียนเหมือนกัน เขาจึงพูดว่า “ได้ ข้ารู้ว่าพวกเขาพักอยู่ที่ไหน มากับข้า!”

ทั้งหมดมาที่เรือนหลังเล็กที่อินชิงเสวียนพักอาศัยอยู่ แต่พวกเขาเห็นเพียงเฉิงเฟิ่งโหลวเท่านั้น

ในอีกด้านหนึ่ง อินชิงเสวียนแต่งตัวแล้ว ทั้งครอบครัวสามคนก็มาที่ห้องโถงด้านหน้า

เมื่อกงซวินอวิ๋นเฟิ่งรู้ว่าทั้งสามกำลังจะจากไป ก็รีบจับมือของอินชิงเสวียน แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เช้านี้พ่อของเจ้าออกไปข้างนอก บางทีเขาอาจจะอยากไปเมืองเพื่อซื้อสุราอาหาร ไม่ว่าอย่างไรพวกเจ้าก็ต้องรอเขกลับมาก่อน แล้วค่อยจากไป”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์