ทั้งคู่ไล่ตามไป๋เสวี่ยไปติดๆ เย่จิ่งหลานก็ยิ้มอย่างขมขื่น
ในชาติที่แล้วเขาตัวคนเดียวไร้ที่พึ่ง ปล่อยให้คนทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ เมื่อเผชิญกับเรื่องใด ไม่มีแม้แต่ที่ที่จะให้ทวงคืนความยุติธรรม แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป เขามีพี่ชายที่รักและเคารพ มีเพื่อนสนิทที่ห่วงใย หากเกิดอะไรขึ้นกับเขา พวกเขาจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ โดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา
แต่เขาจะทนลากพวกเขาลงไปได้อย่างไร ถ้าการไปแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นวิธีเดียวจริงๆ เขาจะเลือกที่จะเดินทางไปเพียงลำพัง
แม้ว่าเย่จิ่งหลานจะทั้งขำทั้งด่า คุยโวโอ้อวด แต่ก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าเพื่อเรื่องยิบย่อยในยุทธภพ เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนถูกรั้งตัวไว้นานเกินไป ถึงเวลาที่ต้องกลับไปแล้ว
ลำพังแค่หัวเดียวชีวิตเดียว ขนาดตงหลิวเขายังสามารถทำลายได้ นับประสาอะไรกับแดนศักดิ์สิทธิ์ มีอะไรให้กลัว?
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เย่จิ่งหลานก็รู้สึกโล่งใจ
ตอนนี้เติบโตเป็นคนหนุ่มแล้ว ควรมีท่วงท่าลักษณะเหมือนคนหนุ่มทั่วไป วันนี้มีเหล้าวันนี้ก็เมา จะไปคิดอะไรให้มากความ!
เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วหมุนตัวกลับเข้าไป
มีเย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนอยู่ที่นี่ แม้ว่าเขาจะไป ก็เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ในที่เกิดเหตุเท่านั้น ไม่สู้ไปอุ่นสุราดีไว้ รอให้พวกเขากลับมาดีกว่า
ทันทีที่ก้าวเท้าขวาเข้าไปในกรอบประตู ก็ได้กลิ่นหอมอันน่าพึงพอใจอย่างยิ่ง กลิ่นนี้เย็นราวกับต้นสนภูเขา และมีเสน่ห์ราวกับดอกพลัมสีแดงในหิมะ อันทำให้คนทั้งคนราวกับถูกมนต์สะกด
เย่จิ่งหลานหันกลับไป ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ห่างออกไปสามเมตร
หญิงสาวคนนั้นสวมหน้ากากผ้าโปร่ง คิ้วโก่งดั่งต้นหลิว ดวงตาเจือรอยยิ้มและความปั้นปึ่งเล็กน้อย มองทีไรก็ดูเปล่งประกาย
นางยืนอยู่ที่นั่น มองดูเย่จิ่งหลาน แล้วถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “คุณชายท่านนี้ต้องการเข้าไป หรือจะออกมา”
เมื่อมองดูดวงตาคู่นั้น เย่จิ่งหลานก็จำความฝันที่เร้าอารมณ์เมื่อคืนนี้ได้ ถึงกับมีความคิดที่จะมองนางอีก
“แม่นางจะเข้าไปหรือ”
เขาระงับความคิดในใจ ถอยหลังหนึ่งก้าว
“แน่นอน ที่นี่คือโรงเตี๊ยมกระมัง”
“ถูกต้อง”
ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กหนุ่มคนนี้ เกรงว่าตัวเองคงไม่ได้เห็นแสงสว่างแห่งดวงตะวันอีก แต่นักพรตเต๋าคนนั้น...
การเผชิญหน้ากันในช่วงสั้นๆ แสดงให้เห็นว่าคนในแดนศักดิ์สิทธิ์เก่งจริงสมคำร่ำลือ ตลอดหลายปีที่ชิงฮุยได้อยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาพัฒนาจิตใจให้สุขุมเยือกเย็นได้จริงๆ
อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ยังไม่เพียงพอ
ต้องทำให้ยุทธจักรวุ่นวายมากกว่านี้ นางถึงจะสามารถเอาชนะพวกมันได้ และฟื้นฟูความรุ่งโรจน์ในอดีตของเมืองแห่งนภา...
นางยิ้มเล็กน้อย แล้วเทให้ตัวเองอีกแก้ว
เมื่อนึกย้อนกลับไปหลายร้อยปีก่อน ดวงตาก็ค่อยๆ มืดลง
ในปีนั้นที่ราชวงศ์โจวเหยียบย่างมายังแคว้นเฟยเหยา เสด็จพ่อเสียชีวิตในการต่อสู้ที่ดุเดือด นางได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่สำคัญในยามที่เกิดวิกฤต รับตำแหน่งราชาผู้ครองแคว้น นำพาเหล่าทหารที่พ่ายแพ้ที่เหลือเดินทางมาที่นี่ แต่ราชวงศ์โจวแข็งแกร่งมีคนมากกว่า ฆ่าทุกคนที่พยายามปกป้องนาง และนางใช้สิ่งที่มีทั้งหมดเพื่อบำเพ็ญฌานตบะ ละทิ้งกายเนื้อ ปกป้องแก่นวิญญาณไว้ เพื่อขอให้กลับมาผงาดอีกครั้ง
ร่างกายของนาง กลับหลับใหลอยู่ในอายุสิบแปดที่งดงามตลอดไป...
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...