สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 1334

“ท่านไม่เป็นไรนะ?”

อินชิงเสวียนโยนตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเย่จิ่งอวี้ ไป๋เสวี่ยและเจ้าขาวที่ติดอยู่ในค่ายกลก็วิ่งเข้ามาพร้อมกัน

เย่จิ่งอวี้ลูบเรือนผมนุ่มดุจแพรไหมของนาง แล้วพูดอย่างอบอุ่นว่า “ไม่เป็นไร เสวียนเอ๋อร์ไม่ต้องเป็นห่วง เพียงแต่นักพรตเทียนจี...”

ทั้งสองสนทนากันเพียงสั้นๆ เย่จิ่งอวี้ยังคงไม่สามารถทราบสาเหตุการตายที่แท้จริงของท่านตาเขาได้

อินชิงเสวียนถอยกลับไปสองก้าว “อาอวี้ไม่ต้องกังวล เงาดำนั้นไม่มีทางสังหารนักพรตเทียนจีอย่างแน่นอน หากข้าเดาไม่ผิด เขาแค่หาข้ออ้างจากไปเท่านั้น”

“อืม”

เย่จิ่งอวี้หายใจออกยาวๆ หลุบตาลงแล้วถามว่า “ถ้าเสวียนเอ๋อร์เป็นฮ่องเต้ เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ในปัจจุบัน จะตัดสินใจอย่างไร”

เขาภูมิใจในตัวบรรพบุรุษของเขามาโดยตลอด แต่ไม่เคยคิดเลยว่า การสถาปนาราชวงศ์ราชวงศ์โจวจะต้องแลกมาด้วยการเหยียบย่ำซากศพและเลือดเนื้อของผู้คนจากแคว้นอื่น

แม้ว่าเย่จิ่งอวี้จะไม่ใช่คนจิตใจอ่อนแอ แต่ในเวลานี้ เขาก็ยังมีข้อสงสัยอยู่บ้าง

อินชิงเสวียนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ในเมื่อสถาปนาต้าโจวขึ้นมา เช่นนั้นก็เป็นลิขิตของสวรรค์ อาอวี้ไม่จำเป็นต้องทนทุกข์ทรมาน การเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์นั้น ย่อมหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตายไม่ได้อยู่แล้ว และทั้งหมดนั้นเป็นการกระทำของบรรพบุรุษราชวงศ์ราชวงศ์โจวไม่เกี่ยวข้องกับอาอวี้...

...ตอนนี้อาอวี้เป็นฮ่องเต้ชาวประชาอยู่ร่มเย็นเป็นสุข นี่คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผู้ครองแคว้น บางทีอาอวี้สามารถมอบบัลลังก์ให้คนอื่นได้ แต่ใครจะรู้ว่าบุคคลนั้นจะไม่ทำร้ายราษฎร...

...กงซวินอวิ๋นเฟิ่งอดทนมาหลายปีเพราะความรัก จิตใจกลับวิกลจริตอย่างยิ่ง คนผู้นี้รอคอยมานานนับพันปี แล้วเขาจะปล่อยราษฎรในต้าโจวไปได้อย่างไร ถ้าเขาเป็นคนดีจริงๆ จะไม่ใช้วิธีที่เลวทรามต่ำช้าเช่นนี้เพื่อทำให้ล่อลวงผู้คน ให้ไปทำร้ายผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น!”

ประโยคสุดท้ายเป็นเหมือนเสียงปลุก ทำให้จิตใจของเย่จิ่งอวี้กระจ่างขึ้น

ใช่แล้ว เขาสามารถสละบัลลังก์เพื่อความสงบสุขได้ แต่ความปลอดภัยของราษฎรเล่า ผู้ใดจะดูแลได้

“เสวียนเอ๋อร์พูดมีเหตุผล เราลงเขาก่อนเถอะ เล่าเรื่องนี้ให้ท่านพ่อท่านแม่ทราบ แล้วค่อยหาทางแก้ไข”

อินชิงเสวียนพยักหน้า จูงมือเย่จิ่งอวี้เดินลงโขดหินไป แต่ในใจกลับครุ่นคิดสับสน

นางพูดเช่นนั้น ก็เพื่อทำให้จิตใจของเย่จิ่งอวี้สงบลง แต่ไหนเลยจะไม่ได้ตั้งคำถามกับตัวเองในใจ

ในประวัติศาสตร์ ยกเว้นการลุกฮือของชาวนาเพียงไม่กี่ครั้ง ที่ถูกกดขี่โดยระบอบศักดินาจนไม่สามารถอยู่รอดได้จริงแล้ว การรุกรานส่วนใหญ่มีจุดประสงค์เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิและผลประโยชน์ทั้งนั้น

แคว้นเฟยเหยาตกเป็นเหยื่ออย่างแท้จริง แต่ตอนนี้ที่ชาวประชาสงบสุข ราษฎรอยู่ดีมีสุข แม้จะไม่ได้ร่ำรวย พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องหนีออกจากบ้าน กลายเป็นคนไร้บ้านอีกต่อไป

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำงานหนักทั้งหมดที่นางทุ่มเทให้กับต้าโจว

นางจะไม่ยอมปล่อย เย่จิ่งอวี้ก็จะไม่ยอมปล่อยเช่นกัน แต่การรู้ความจริงของเรื่องนี้ ทำให้นางรู้สึกผิดและไม่สบายใจอยู่ ท้ายที่สุดแล้ว นางและเย่จิ่งอวี้ก็มีนิสัยเหมือนกัน

มีบางเรื่อง ยากที่จะตัดสินข้อดีและข้อเสียได้จริงๆ ไม่ว่าคนจะมีอำนาจแค่ไหน เขาก็มีด้านที่ถูกคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์อยู่

เมื่อนึกถึงจักรพรรดิฉินหวงและจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ อินชิงเสวียนก็เม้มริมฝีปาก บางทีหลังจากที่นางและเย่จิ่งอวี้ตายไป ก็จะมีนักวิชาการกลุ่มหนึ่งเรียบเรียงชีวประวัติทั้งหมดของพวกเขา แต่เรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องภายหลัง กังวลไปก็ไร้ประโยชน์ ตอนนี้ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดดีกว่า จะได้ไม่ถือว่าเสียเวลาที่ผ่านมา

นายหญิงนางสนมในวังที่กำลังตั้งครรภ์ มีใครบ้างที่ไม่หวงปหน แม้จะจาม ก็กลัวว่าทารกจะหลุด แต่หญิงสาวคนนี้กลับวิ่งหัวหกก้นขวิดไปกับเขา เย่จิ่งอวี้จะทนได้อย่างไร

“ได้”

เพื่อไม่ให้เย่จิ่งอวี้เป็นกังวลตัวเอง อินชิงเสวียนจึงไม่ได้ฝืน

“เช่นนั้นท่านก็รีบไปรีบมานะ ถ้าจ้าวเอ๋อร์คิดถึงข้า ก็พาเขาลงมาด้วย”

“ได้”

เย่จิ่งอวี้ตอบรับ และรีบออกจากโรงเตี๊ยมไป

แม่นางคนหนึ่งสวมกระโปรงสีม่วงเดินผ่านเขาไป โดยปิดหน้าไว้ด้วยผ้าโปร่งยาวสีเดียวกัน

เย่จิ่งหลานก็บังเอิญเห็นผ่านรอยแตกของประตู เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

เป็นผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว

อาหารสามมื้อต่อวัน นางลงมากินตรงเวลาเสมอ

เขาเหลือบเห็นถั่วปากอ้าที่เหลือบนโต๊ะของหวังซุ่น หยิบมันขึ้นมาทันที ยกข้อมือขึ้น ทำให้ถั่วปากอ้าพุ่งออกไป ลอยไปทางหมวกไม้ไผ่ที่อยู่เหนือศีรษะของผู้หญิงคนนั้น

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์