ครึ่งเดือนต่อมา ในที่สุดรถม้าก็มาถึงเมืองหลวง
อินชิงเสวียนไม่สามารถทนต่อการโคลงเคลงสั่นสะเทือนได้ นางจึงอยู่ในมิติกับเสี่ยวหนานเฟิงเกือบตลอดเวลา
ในช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันนี้ นางพบว่าเสี่ยวหนานเฟิงไม่เพียงแต่ฉลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นต้นกล้าที่ยอดเยี่ยมในการฝึกฝนวรยุทธ์อีกด้วย
อายุยังน้อยไม่เพียงแต่เรียนรู้บทกวีในสมัยถังและซ่ง ยังมีกำลังภายในลึกล้ำน่าประหลาดใจ มือซ้ายสามารถใช้เคล็ดวิชาใจเพียวเหมี่ยวได้ มือขวาใช้เคล็ดวิชาใจตำหนักเทพได้ แม้กระทั่งเรียนรู้วิชาขลุ่ยลวงใจของเจ้าสำนักเซี่ยว อินชิงเสวียนนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าช่วงที่นางไม่ได้อยู่กับเสี่ยวหนานเฟิงนั้น เขาได้เรียนรู้วิชามาจากทุกคนรอบตัวเขา
“แค่กๆ เจ้า...ชอบฝึกวรยุทธ์หรือเปล่า?”
จากมุมมองที่เห็นแก่ตัว อินชิงเสวียนไม่ต้องการให้เสี่ยวหนานเฟิงมีฝีมมือสูงส่งเกินไป ท้ายที่สุดแล้ว ยิ่งมีความสามารถสูง ความรับผิดชอบก็ยิ่งสูงตาม ศาสตร์แห่งราชาต่างหาก คือสิ่งที่เขาควรต้องศึกษา
เสี่ยวหนานเฟิงกะพริบตาโตแล้วพูดว่า “ชอบสิ รู้วรยุทธ์ ก็สามารถปกป้องท่านแม่ได้”
อินชิงเสวียนกอดลูกชายตัวนุ่มนิ่มและมีกลิ่นหอม แล้วพูดอย่างจริงจัง “ต่อจากนี้ไปสิ่งที่เจ้าต้องการปกป้องคือราษฎรทั่วทั้งใต้หล้า ไม่ใช่แม่ หากต้องการให้ทุกคนมีชีวิตที่ดี ก็ต้องมีความรู้มากมาย”
เสี่ยวหนานเฟิงถามอย่างไม่เข้าใจ “ท่านแม่ก็เป็นราษฎรไม่ใช่หรือ จะเรียนตำราหรือฝึกฝนวรยุทธ์ก็ไม่มีความขัดแย้งกันนี่นา”
“เอ่อ...นี่...”
ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น
เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมา โอบกอดคอของนาง กล่าวปลอบด้วยเสียงแหลมใสไร้เดียงสา “ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ข้าจะต้องเป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่เหมือนท่านพ่อ ผู้ซึ่งสามารถปกครองบ้านเมืองและเอาชนะคนเลวได้!”
อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ
“อย่าเอาแต่คิดจะสู้กับคนสิ แต่จงโน้มน้าวด้วยคุณธรรม”
เสี่ยวหนานเฟิงกำหมัดโบกไม้โบกมือ
“ท่านยายฉุยบอกว่า คนเลวต้องถูกตี หากไม่ตีพวกเขาจะไม่เชื่อฟัง”
อินชิงเสวียนกลอกตา
ขุนนางในราชสำนักหลายคนบ้างก็เสียชีวิตไป บ้างก็ลาออก ไว้ว่าจะตำแหน่งขุนนางบุ๋นหรือบู๊ ล้วนมีตำแหน่งงานว่างมากมาย ส่วนที่เหลือถ้าไม่แกล้งป่วยแกล้งตาย ไม่ก็เป็นต้นหญ้าแก่ๆ ลู่ตามลม กลัวถูกไฟเผา คนเช่นนี้ เย่จิ่งอวี้ย่อมรังเกียจอยู่แล้ว
ตอนนี้พลาดการสอบฤดูใบไม้ร่วง ไม่รู้ว่าการคัดเลือกด้านบุ๋นบู๊จะสามารถดำเนินการได้ตามปกติหรือไม่ เย่จิ่งอวี้ต้องการบุคลากรใหม่ๆ อย่างเร่งด่วน เพื่อเติมเต็มตำแหน่งที่ว่างในราชสำนัก และเฉิงเฟิ่งโหลวก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เข้าตาเขา
ในระหว่างการเดินทางนับสิบวัน นักเรียนเสี่ยวเฉิงก็ได้เรียนรู้อะไรมากมายเช่นกัน ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้โดยตรงจากฮ่องเต้ เมื่อมองดูในปัจจุบัน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับเกียรตินี้
ในพริบตาเดียว ก็มาถึงเนินที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงห้าลี้
เมื่อรู้ว่าเมืองหลวงต้าโจววอยู่ข้างหน้าแล้ว เฉิงเฟิ่งโหลวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น ชะโงกมองไปข้างหน้า แทบอยากจะกางปีกสองข้าง บินไปดูความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงเร็วๆ ด้วยซ้ำ
ขณะที่กำลังตื่นเต้น ก็ได้ยินเสียงกีบม้า กลุ่มทหารควบม้าออกมาจากเมืองหลวง เสียงกีบม้าทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน
แม้ว่าเฉิงเฟิ่งโหลวจะไม่รู้วรยุทธ์ แต่ก็รีบชักกระบี่ยาวกระโดดบนรถม้าทันที ในฐานะขุนนาง เป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องปกป้องความปลอดภัยของฝ่าบาท
เขายืนขึ้นบนเพลารถม้า ยกกระบี่ขึ้นแล้วตะโกน “หยุด ผู้มาคือใคร!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...