สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 1508

ครึ่งเดือนต่อมา ในที่สุดรถม้าก็มาถึงเมืองหลวง

อินชิงเสวียนไม่สามารถทนต่อการโคลงเคลงสั่นสะเทือนได้ นางจึงอยู่ในมิติกับเสี่ยวหนานเฟิงเกือบตลอดเวลา

ในช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันนี้ นางพบว่าเสี่ยวหนานเฟิงไม่เพียงแต่ฉลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นต้นกล้าที่ยอดเยี่ยมในการฝึกฝนวรยุทธ์อีกด้วย

อายุยังน้อยไม่เพียงแต่เรียนรู้บทกวีในสมัยถังและซ่ง ยังมีกำลังภายในลึกล้ำน่าประหลาดใจ มือซ้ายสามารถใช้เคล็ดวิชาใจเพียวเหมี่ยวได้ มือขวาใช้เคล็ดวิชาใจตำหนักเทพได้ แม้กระทั่งเรียนรู้วิชาขลุ่ยลวงใจของเจ้าสำนักเซี่ยว อินชิงเสวียนนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าช่วงที่นางไม่ได้อยู่กับเสี่ยวหนานเฟิงนั้น เขาได้เรียนรู้วิชามาจากทุกคนรอบตัวเขา

“แค่กๆ เจ้า...ชอบฝึกวรยุทธ์หรือเปล่า?”

จากมุมมองที่เห็นแก่ตัว อินชิงเสวียนไม่ต้องการให้เสี่ยวหนานเฟิงมีฝีมมือสูงส่งเกินไป ท้ายที่สุดแล้ว ยิ่งมีความสามารถสูง ความรับผิดชอบก็ยิ่งสูงตาม ศาสตร์แห่งราชาต่างหาก คือสิ่งที่เขาควรต้องศึกษา

เสี่ยวหนานเฟิงกะพริบตาโตแล้วพูดว่า “ชอบสิ รู้วรยุทธ์ ก็สามารถปกป้องท่านแม่ได้”

อินชิงเสวียนกอดลูกชายตัวนุ่มนิ่มและมีกลิ่นหอม แล้วพูดอย่างจริงจัง “ต่อจากนี้ไปสิ่งที่เจ้าต้องการปกป้องคือราษฎรทั่วทั้งใต้หล้า ไม่ใช่แม่ หากต้องการให้ทุกคนมีชีวิตที่ดี ก็ต้องมีความรู้มากมาย”

เสี่ยวหนานเฟิงถามอย่างไม่เข้าใจ “ท่านแม่ก็เป็นราษฎรไม่ใช่หรือ จะเรียนตำราหรือฝึกฝนวรยุทธ์ก็ไม่มีความขัดแย้งกันนี่นา”

“เอ่อ...นี่...”

ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น

เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมา โอบกอดคอของนาง กล่าวปลอบด้วยเสียงแหลมใสไร้เดียงสา “ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ข้าจะต้องเป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่เหมือนท่านพ่อ ผู้ซึ่งสามารถปกครองบ้านเมืองและเอาชนะคนเลวได้!”

อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ

“อย่าเอาแต่คิดจะสู้กับคนสิ แต่จงโน้มน้าวด้วยคุณธรรม”

เสี่ยวหนานเฟิงกำหมัดโบกไม้โบกมือ

“ท่านยายฉุยบอกว่า คนเลวต้องถูกตี หากไม่ตีพวกเขาจะไม่เชื่อฟัง”

อินชิงเสวียนกลอกตา

ขุนนางในราชสำนักหลายคนบ้างก็เสียชีวิตไป บ้างก็ลาออก ไว้ว่าจะตำแหน่งขุนนางบุ๋นหรือบู๊ ล้วนมีตำแหน่งงานว่างมากมาย ส่วนที่เหลือถ้าไม่แกล้งป่วยแกล้งตาย ไม่ก็เป็นต้นหญ้าแก่ๆ ลู่ตามลม กลัวถูกไฟเผา คนเช่นนี้ เย่จิ่งอวี้ย่อมรังเกียจอยู่แล้ว

ตอนนี้พลาดการสอบฤดูใบไม้ร่วง ไม่รู้ว่าการคัดเลือกด้านบุ๋นบู๊จะสามารถดำเนินการได้ตามปกติหรือไม่ เย่จิ่งอวี้ต้องการบุคลากรใหม่ๆ อย่างเร่งด่วน เพื่อเติมเต็มตำแหน่งที่ว่างในราชสำนัก และเฉิงเฟิ่งโหลวก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เข้าตาเขา

ในระหว่างการเดินทางนับสิบวัน นักเรียนเสี่ยวเฉิงก็ได้เรียนรู้อะไรมากมายเช่นกัน ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้โดยตรงจากฮ่องเต้ เมื่อมองดูในปัจจุบัน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับเกียรตินี้

ในพริบตาเดียว ก็มาถึงเนินที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงห้าลี้

เมื่อรู้ว่าเมืองหลวงต้าโจววอยู่ข้างหน้าแล้ว เฉิงเฟิ่งโหลวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น ชะโงกมองไปข้างหน้า แทบอยากจะกางปีกสองข้าง บินไปดูความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงเร็วๆ ด้วยซ้ำ

ขณะที่กำลังตื่นเต้น ก็ได้ยินเสียงกีบม้า กลุ่มทหารควบม้าออกมาจากเมืองหลวง เสียงกีบม้าทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน

แม้ว่าเฉิงเฟิ่งโหลวจะไม่รู้วรยุทธ์ แต่ก็รีบชักกระบี่ยาวกระโดดบนรถม้าทันที ในฐานะขุนนาง เป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องปกป้องความปลอดภัยของฝ่าบาท

เขายืนขึ้นบนเพลารถม้า ยกกระบี่ขึ้นแล้วตะโกน “หยุด ผู้มาคือใคร!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์