อินชิงเสวียนมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้วเอ่ยถามขึ้น “ความลับอะไร”
ดวงตาเล็กตี่เท่าเม็ดถั่วเขียวของหวังซุ่นตวับวาบ พูดว่า “เกี่ยวกับอาซือหลาน”
อินชิงเสวียนพูดอย่างจงใจ “เจ้าอยากจะบอกข้าว่า อาซือหลานยังไม่ตาย? ข่าวนี้ไม่มีราคาแล้ว”
รูม่านตาของหวังซุ่นเปลี่ยนไป แต่เขาไม่ยอมรับ
ทว่าอินชิงเสวียนยังพบคำตอบจากดวงตาของเขาเหมือนเดิม
นางอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
ตัวซวยอย่างอาซือหลานยังมีชีวิตอยู่จริงๆ ด้วย
“พาตัวเขาไป”
หวังซุ่นตะโกนทันที “นอกจากอาซือหลาน ข้ายังมีข่าวอื่นอีก”
“ไปคุยกันในวังเถอะ”
อินชิงเสวียนสะบัดแขนเสื้อ แล้วออกจากห้อง
ครั้นแล้วทั้งหมดคุมตัวหวังซุ่น พากลับวังทันที
เมื่อมาถึงประตูวัง องครักษ์เงาถามว่า “กุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ จะให้นำตัวคนผู้นี้ไปที่ใด”
อินชิงเสวียนกล่าวว่า “ส่งไปที่คุกหลวงชั้นใน ต้องจับตาดูคนผู้นี้ให้ดีด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ต่อมาอินชิงเสวียนก็ตรงไปที่คุกชั้นใน เมื่อมาถึง หวังซุ่นก็ถูกล่ามโซ่ตรวนไว้แล้ว
“เจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”
หวังซุ่นสงบลง ดวงตาเล็กตี่คู่นั้นยังคงมองไปยังใบหน้าของอินชิงเสวียนอย่างไม่วางตา
“ถ้าข้าบอกไปแล้ว พระสนมจะปล่อยข้าไปได้หรือไม่”
อินชิงเสวียนแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา “ตอนนี้เจ้าเป็นเหมือนเนื้อบนเขียงที่รอการเชือดแล้ว เจ้ายังกล้าเจรจาข้อตกลงกับข้าอีกหรือ บอกทุกสิ่งที่เจ้ารู้มา บางทีข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้าก็ได้ ถ้าเจ้าไม่บอก เครื่องมือลงโทษในคุกหลวงชั้นในแห่งนี้ เจ้าจะได้ลิ้มลองทั้งหมดแน่”
เมื่อเห็นว่าหวงกุ้ยเฟยเข้ามาสอบปากคำนักโทษด้วยตนเอง หัวหน้าผู้คุมจึงต้องแสดงความสามารถเสียหน่อย บ้างก็หยิบแส้จุ่มน้ำเกลือ บ้างก็หยิบเหล็กร้อนแดงออกมา บ้างก็หยิบกระดาษหนาๆ ออกมาเตรียมทำการประหารแบบเจีกวนจิ้นเจวี๋ย
“เจ้าหนุ่ม ถ้ารู้แล้วก็รีบสารภาพมาเถอะ หากทำให้พระสนมของเราโกรธ เจ้าได้เห็นดีแน่”
“ใช่แล้ว คุกหลวงชั้นในของเราใช้รับมือกับคนปากแข็งโดยเฉพาะ ไม่ว่าต้องทำอย่างไรพวกเราก็จะง้างปากคนผู้นั้นได้แน่นอน”
“เร็วเข้า อย่ามัวเสียเวลา พระสนมของเรากำลังรออยู่นะ”
หลายคนเดินไปหาหวังซุ่นด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย เมื่อมองดูรอยยิ้มชวนขนลุกของพวกเขา หวังซุ่นก็รู้สึกชาวาบไปทั้งศีรษะ
“พี่ชายของเจ้า เรื่องนี้เกี้ยวข้องกับพี่ชายของเจ้า”
อินชิงเสวียนถามอย่างเย็นชา “พี่ชายของข้าเป็นอะไร”
หวังซุ่นรีบกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “คุณชายใหญ่อินได้แต่งงานกับองค์หญิงแห่งเจียงวูจริง แต่เขาไม่ได้ทำโดยสมัครใจ”
กระแสเสียงของอินชิงเสวียนมืดมนลง
“ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด ทางที่ดีเจ้าควรพูดทั้งหมดมาคราวเดียว”
หวังซุ่นกัดฟันแล้วพูดว่า “เขาสูญเสียความทรงจำ ทั้งยังถูกคนควบคุม เป็นกู่พิษ มีคนเสกกู่พิษใส่เขา”
ก่อนที่อินชิงเสวียนจะถาม หวังซุ่นกล่าวเสริมอีกว่า “ข้าได้ยินมาว่าอินจ้งได้ไปที่ด่านถงกู่แล้ว ตอนนี้อาซือหลานก็กลับไปที่เจียงวูแล้ว ด้วยนิสัยของเขา มีความเป็นไปได้มากที่จะใช้อินสิงอวิ๋นไปต่อกรกับพ่อของเจ้า”
สีหน้าของอินชิงเสวียนเปลี่ยนไปทันที
“เจ้าหมายความว่ากู่นั้นสามารถควบคุมความคิดและการกระทำของคนได้งั้นหรือ”
หวังซุ่นเอ่ย “ประมาณนั้น แม้ว่าข้าจะไม่ได้ลองจริงๆ แต่ข้าเคยเห็นราชครูควบคุมผู้อื่น คนผู้นั้นอาการคล้ายถูกวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิง เมื่อเขาตื่นขึ้นมาเขาจำไม่ได้ว่าเขาทำอะไรลงไป”
ทันใดนั้นใบหน้าของอินชิงเสวียนก็เหยเก
ถ้าอาซือหลานใช้ไม้นี้จริงๆ เช่นนั้นก็ป้องกันไม่ได้กระนั้นหรือ
“แล้วจะกำจัดพิษกู่นี้ได้อย่างไร”
แม้ว่าน้ำพุวิญญาณของนางจะสามารถรักษาบาดแผลและพิษได้ แต่ก็ใช้ไม่ได้ผลกับกู่
เดิมทีเย่จิ่งอวี้ต้องการเรียกอินชิงเสวียนมาถามว่าเหตุใดกระดาษของนางถึงเรียบลื่นมาก เมื่อนึกขึ้นได้ว่านางเพิ่งไปสำนักศึกษาหลวงมา ต้องเปลืองแรงเปลืองน้ำลายไปไม่น้อยแล้ว จึงไม่ได้ให้คนไปตามนางมาเข้าเฝ้า แต่ไม่คาดคิดว่านางจะมาที่นี่เอง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากด้านนอกประตู อินชิงเสวียนผู้ซึ่งสวมชุดบุรุษก็เดินเข้ามาจากด้านนอก
เมื่อเห็นว่ามีคนนอกอยู่ด้วย อินชิงเสวียนก็โค้งคำนับทันที
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ!”
“ตามสบาย ลองดูกระดาษของไต้เท้าฉินดูหน่อยว่าเป็นเช่นไรบ้าง”
เย่จิ่งอวี้เดินไปหาด้วยรอยยิ้ม แล้ววางกระดาษที่ผิวขรุขระไม่เรียบเนียบใส่มือของอินชิงเสวียน
อินชิงเสวียนจึงต้องอดทนมองดูเท่านั้น
“ไต้เท้าฉินสามารถสร้างกระดาษที่มีคุณภาพเช่นนี้ได้ ก็นับว่าดีมาแล้ว หากพัฒนาต่อไป ก็จะสามารถผลิตกระดาษสีขาวเรียบเนียนราวกับกระจกได้อย่างแน่นอน”
ฉินไห่ฉิวถามทันที “ไม่ทราบว่าจะต้องปรับปรุงอย่างไร”
อินชิงเสวียนขมวดคิ้วและพูดว่า “ข้าก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้เหมือนกัน ข้ารู้แค่วิธีทำเพียงผิวเผิน ส่วนที่เหลือต้องให้ใต้เท้าฉินแสวงหาด้วยตัวเองแล้ว”
เมื่อเห็นสีหน้าของนางดูไม่ดี เย่จิ่งอวี้ก็เดาได้แล้วว่าคงเกิดอะไรขึ้นกับอินชิงเสวียน ดังนั้นเขาจึงพูดกับฉินไห่ฉิวว่า “เมื่อเสวียนเอ๋อร์พูดเช่นนี้แล้ว ส่วนที่เหลือก็ให้ใต้เท้าฉินจัดการไปเถิด ข้ายังมีงานอื่นต้องจัดการ เชิญใต้เท้าฉินกลับไปเถอะ”
ฉินไห่ฉิวยังมีเรื่องอยากถาม แต่เมื่อได้ยินฝ่าบาทมีรับสั่งไล่แขกเช่นนี้ เขาก็ทำได้เพียงโค้งคำนับและจากไป
หลังจากที่เขาจากไปแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็ดึงอินชิงเสวียนมาข้างกาย แล้วถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “หรือว่าใต้เท้าเฒ่าพวกนั้นทำให้เจ้าลำบากใจ?”
“ไม่ใช่เพคะ แต่เกิดเรื่องขึ้นที่เจียงวูแล้ว”
อินชิงเสวียนเล่าเรื่องการจับกุมหวังซุ่นให้เขาฟังอย่างกระชับ
จากนั้นพูดด้วยท่าทางกังวล “ขอฝ่าบาทเขียนจดหมายด่วนให้คนส่งไปที่ด่านถงกู่โดยเร็ว เสด็จพ่อของหม่อมฉันจะได้ไม่หลงกลเข้า”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”
เย่จิ่งอวี้ก็ประหลาดใจเช่นกัน
หากสิ่งที่หวังซุ่นพูดเป็นความจริง การเดินทางในครั้งนี้ของอินจ้ง...จะเป็นอันตรายอย่างแน่นอน!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...