“กฎหมายของต้าโจมเข้มงวดมาโดยตลอด หากคนในเชื้อพระวงศ์ฝ่าฝืนกฎหมายก็มีความผิดเทียบเท่าราษฎร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจูอวี้เหยียน เรื่องนี้ข้าจะจัดการด้วยตัวเอง ท่านอ๋องไม่ต้องสนใจหรอกเพคะ”
เมื่อเห็นใบหน้าที่ชอบธรรมของอินชิงเสวียน เย่จั้นยิ้มและพยักหน้า
“ดี ในเมื่อกู่แม่เข้ามาอยู่ในร่างกายของกุ้ยเฟยแล้ว เชื่อว่าฝ่าบาทจะไม่เป็นอันตรายอีกต่อไป ข้าและเจ้าควรไปยอมรับผิดต่อฝ่าบาทหรือไม่”
“เช่นนั้นเชิญท่านอ๋องตามข้ามาที่ตำหนักจินหวูเถอะเพคะ”
เย่จั้นพยักหน้า และเดินไปกับอินชิงเสวียน ตรงไปยังตำหนักจินหวู...
ตระกูลอิน
อินจ้งสั่งให้คนแก้มัดอินสิงอวิ๋น และป้อนข้าวต้มให้เขา
แม้อินสิงอวิ๋นจะกินอาหาร แต่สายตายังเต็มไปด้วยความระแวง
อินจ้งรู้ว่าลูกชายคนโตสูญเสียความทรงจำ ตอนนี้จึงทำได้เพียงระมัดระวัง และค่อยเป็นค่อยไป
“เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าเป็นท่านพ่อของเจ้าจริงๆ นี่คืออินปู้อวี่ น้องรองของเจ้า เจ้าชื่อว่าอินสิงอวิ๋น”
เขานั่งอยู่ริมเตียงนอน พูดด้วยสีหน้าที่รักใคร่
อินสิงอวิ๋นมองเขา ไม่พูดจา เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อใจ
อินจ้งพูดอีกว่า “ดูน้องชายเจ้าสิ แม้ว่าพวกเจ้าสองคนมีนิสัยแตกต่างกัน แต่กลับมีรูปลักษณ์คล้ายกันมาก เจ้าจำอะไรไม่ได้สักนิดเลยหรือ?”
อินสิงอวิ๋นมองไปที่อินปู้อวี่ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ไม่รู้ว่าในหัวของเขาเป็นอะไร จู่ๆ ก็ผุดภาพแม่นางน้อยถือช่อดอกไม้ เขานึกไม่ออกว่านางเป็นใคร แต่กลับรู้สึกสนิทสนมอย่างมาก
อินสิงอวิ๋นพยายามนึกย้อนอดีต กลับรู้สึกเจ็บปวดที่หัวสมอง จึงเอื้อมมือขึ้นมากุมศีรษะเอาไว้อย่างไม่อาจทนได้
อินจ้งรีบกุมมือของลูกชายเอาไว้
“ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว ยังมีเวลาอีกมาก เดี๋ยวก็จำได้เอง”
อินปู้อวี่ก็พูดขึ้นข้างๆ “พี่ใหญ่พักผ่อนให้มากๆ จะดีกว่า ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่วันอาจจะจำทุกอย่างได้แล้ว”
“จริงด้วย รีบนอนลงเถอะ”
อินจ้งพยุงอินสิงอวิ๋นขึ้นเตียง อินปู้อวี่ห่มผ้าให้แก่เขา จากนั้นก็ตามท่านพ่อออกไปด้านนอก
“ท่านพ่อ หากพี่ใหญ่จำอะไรไม่ได้ไปตลอดชีวิต พวกเราจะทำอย่างไร?”
อินจ้งถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่มีทาง พี่ใหญ่ของเจ้าเพียงได้รับผลกระทบจากพิษกู่เท่านั้น ตอนนี้หนอนกู่ถูกแก้แล้ว อีกสักพักก็คงหายดี”
“อืม”
อินปู้อวี่พยักหน้าด้วยความมั่นใจ
“แน่นอนอยู่แล้ว”
ด้านในห้อง อินสิงอวิ๋นลืมตาขึ้นอีกครั้ง
เมื่อมองดูการจัดตกแต่งภายในห้อง ทุกอย่างก็ดูแปลกตาไปหมด ตรงหน้ามักมีภาพกระโจมผ้าสักหลาดและพรมขนแพะ และยังมีเสียงของแม่นางน้อยที่ดังกังวานราวเสียงกระดิ่ง
นางคือใครกันแน่?
เหตุใดหน้าตาของนางจึงชัดเจนเช่นนี้?
ในขณะเดียวกันนั้น ณ เจียงวู ที่อยู่ไกลออกไปพันลี้
เป่าเล่อเอ่อร์นั่งอยู่ด้านในกระโจมผ้าสักหลาด ดวงตาสองข้างแดงก่ำ ภายในดวงตายังมีน้ำตาไหลอยู่
น่าลี่ สาวรับใช้นั่งปลอบเสียงเบาอยู่ข้างๆ
“องค์หญิง อย่าร้องไห้เลยเพคะ ราชบุตรเขยต้องทำธุระอยู่แน่นอน อีกไม่นานก็คงกลับมาเพคะ”
เป่าเล่อเอ่อร์ส่ายหน้าด้วยอาการสะอื้น
“ไม่มีทาง เขาไม่กลับมาอีกแล้ว”
น่าลี่พูดกล่อมเสียงเบาว่า “มีทางสิเพคะ องค์หญิงต้องดูแลร่างกายให้ดีก่อน หากราชบุตรเขยกลับมาเห็นองค์หญิงเป็นเช่นนี้ ต้องเสียใจมากเพคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ น้ำตาของเป่าเล่อเอ่อร์ก็ไหลออกมาอีก
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอก เงาของร่างสูงใหญ่เปิดผ้าม่านแล้วเดินเข้ามา
เป่าเล่อเอ่อร์เงยหน้าขึ้นทั้งน้ำตา
ทันทีที่พูดจบ เสียงที่ชัดเจนก็ดังมาจากด้านนอก
“หากน้องเล็กรั้นที่จะไปตามหาอินสิงอวิ๋น ข้าก็ยินดีไปส่ง”
เมื่อม่านประตูเปิดออก อาซือหลานที่สวมชุดคลุมสีฟ้าก็เดินเข้ามาจากด้านนอก
อูเอินยืนขวางด้านหน้าน้องสาวไว้ในทันที
“ไม่ได้”
นับตั้งแต่ลงนามสัญญายุติสงคราม อาซือหลานก็หายตัวไปอย่างกะทันหัน ไม่รู้ว่าแอบทำอะไรในที่ลับ
ด้วยความสามารถของอาซือหลาน เขาสามารถเข้ารับตำแหน่งราชาแห่งเผ่าได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ว่าอาซือหลานกลับยังรอจังหวะบุกโจมตี จู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน อูเอินจำเป็นต้องระวังเขาไว้
อาซือหลานหัวเราะเหอะๆ แล้วพูดว่า “เหตุใดพี่ใหญ่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้น แม้ท่านและข้าไม่ใช่แม่เดียวกัน แต่ยังคงมีสายเลือดเสด็จพ่อร่วมกัน เป่าเล่อเอ่อร์ก็เป็นน้องสาวของข้า ให้นางอยู่ในการดูแลของข้า ท่านมีอะไรที่ไม่ไว้ใจงั้นหรือ?”
“เพราะว่าเป็นเจ้า ข้าจึงไม่ไว้วางใจ อาซือหลาน หากเจ้าต้องการกลุ่มชนเผ่าเจียงวู ข้าสามารถให้เจ้าได้ อำนาจทางการทหารข้าก็ให้เจ้าได้เช่นกัน ขอเพียงเจ้าปกครองเจียงวูได้อย่างสงบสุข อย่าได้คิดแผนเจ้าเล่ห์ โดยไม่สนใจไยดีประชาชนชาวเจียงวู”
แปะๆๆ
เสียงปรบมือดังขึ้น อาซือหลานแสยะยิ้มที่มุมปาก รอยยิ้มแฝงไปด้วยความชั่วร้าย
“สมกับเป็นราชาแห่งเผ่า ช่างมีวาทะที่เต็มไปด้วยสัจธรรมจริงๆ เพียงแต่น่าเสียดายที่ท่านคิดไป ข้าสามารถครอบครองเจียงวูได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องให้ท่านมอบให้ ข้ามาในวันนี้ก็เพราะสงสารน้องเล็กเท่านั้น”
เป่าเล่อเอ่อร์กัดริมฝีปากไว้แน่น
นางอยากไปกับอาซือหลาน แต่นางรู้ดีว่าอาซือหลานเป็นคนอย่างไร
นางไม่อยากให้พี่ใหญ่เป็นห่วงตัวเอง
จึงพูดว่า “ขอบพระทัยในความหวังดีของท่านพี่ เป่าเล่อเอ่อร์ไม่ต้องการ”
อาซือหลานพูดอย่างเชื่องช้าว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่พูดอะไรมากแล้ว พรุ่งนี้ข้าเตรียมตัวไปต้าโจว จะไปด้วยหรือไม่ เจ้าตัดสินใจเอาเอง”
เมื่อมองเงาหลังของอาซือหลาน อูเอินก็กำหมัดไว้แน่น
เกลียดที่ตัวเองมีวิชาการต่อสู้เทียบเขาไม่ได้ ไม่เช่นนั้น เขาจะจัดการกับตัวปัญหาชั่วร้ายนี้ให้สิ้นซาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...